วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ROMEO & JULIET


ROMEO & JULIET / โรมิโอ & จูเลียต


ผู้จัดจำหน่าย : RELATIVITY MEDIA, MONO FILM (ในประเทศไทย)
สตูดิโอผู้สร้าง : ECHO LAKE PRODUCTIONS, AMBER ENTERTAINMENT, SWAROVSKI ENTERTAINMENT
ผู้กำกับ : คาร์โล คาร์ไล (FLUKE)
ประเภทของหนัง : DRAMA | ROMANCE

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”


มุมมอง
“จากนิยายที่เป็นที่สุดของ วิลเลี่ยม เชกสเปียร์ สู่อีกหนึ่งฉบับหนังที่ดีเหมือนกัน”


จากนิยายรักอมตะของ วิลเลี่ยม เชกสเปียร์ อย่าง ROMEO & JULIET นั่นถูกดัดแปลงเป็นฉบับภาพยนตร์มามากมายหลายครั้งแต่ฉบับที่เป็นที่รู้จักมากสุดมีอยู่สองฉบับคือฉบับปี 1968 ของ ฟรานซิส เซฟฟิเรลลี่ ที่มี ลิโอนาร์ด ไวติ้ง เป็น โรมิโอ และมี โอลิเวีย ฮัสซี่ย์ เป็น จูเลียต ที่สมบูรณ์แบบที่สุด กับฉบับปี 1996 ของ บาซ เลอห์มานน์ ที่มี ลิโอนาร์โด้ ดิคาปริโอ มาเป็น โรมิโอ กับมี แคลร์ เดนส์ เป็น จูเลียน ในฉบับดัดแปลงให้เข้ากับยุคใหม่ที่อลังการดาวล้านดวง แต่ในปี 2013 นี้ เราอาจจะมีอีกหนึ่งภาพยนตร์ ROMEO & JULIET ที่เป็นที่จดจำ! กับ ดักลาส บูธ เป็น โรมิโอ และ ไฮลี่ สไตน์เฟลด์ เป็น จูเลียต และมี คาร์โล คาร์ไล มาทำหน้าที่กำกับ!!, สำหรับใครไม่รู้บทสรุปมาก่อน ข้างล่างต่อจากนี้ "สปอยล์" น่ะ!

ภาษาเชกสเปียร์เป็นภาษาที่ฟังยากแต่มีเสน่ห์แต่พร้อมกันยังรำคาญในเวลาเดียวกัน แน่นอนให้เด็กรุ่นใหม่มาฟังคงจะเซ็งอย่างมาก แต่ในฉบับนี้ภาษาเช็กสเปียร์ยังมีอยู่แต่ไม่ได้ใส่มาจัดเต็มตลอดเรื่อง แต่เน้นไปที่สำนวนที่ฟังแล้วเพราะ ไม่ได้รับส่งกันแบบสไตล์ลิเกเหมือนฉบับ 1968 กับ 1996 แต่เป็นสไตล์ที่ลื่นไหลและเข้าใจง่าย และทำให้ลื่นหูมากขึ้น เป็นจุดดีมากๆ ที่ฉบับนี้ทำได้แตกต่างและดีกว่าฉบับอื่นๆ และในส่วนตัวหนังแม้จะหยิบนิยายเล่มเดียวกันมาทำเป็นหนังแต่หนังไม่ได้เดินตามรอยฉบับก่อนหน้า แต่วิธีการของหนังจะเล่าเรื่องต่างกัน มีสไตล์การดำเนินและจังหวะการเล่าเรื่องของหนังที่ต่างกันจากฉบับอื่นๆ เหมือนเรากำลังดูหนังเรื่องอื่น แต่บทสรุปเดียวกัน ตัวละครตัวเดียวกัน


หนังไม่ได้ลิเกเหมือนฉบับอื่นๆ แต่จะเน้นที่อารมณ์ของตัวละครและคนดู โดยเฉพาะการสูญเสียหนังดูจะเน้นไปที่ในส่วนตรงนี้และหนังก็ไม่ได้ทำเวิ่นเว้อแต่เน้นให้ดูสมจริงและจริงจัง โดยเฉพาะการสูญเสียของ เมอร์คิวชิโอ กับ ทิบอลต์ หนังทำได้อย่างยอดเยี่ยม มีความจริงจัง แต่ไม่ได้ดูลิเก แต่ทำให้เห็นว่ามันกำลังมีเรื่องและแค้นแบบโมโหแบบจริงๆ คือทำให้เชื่อว่ามันสู้กันเนี่ยมันตายกันจริงๆ ไม่ใช่เหมือนฉบับการสู้กันแบบดูเหมือนเล่นๆ ในปี 1968 กับ 1996 (แต่ดันตายกันจริงๆ!!) คือต้องยอมรับเลยว่าทีมสร้าง ROMEO & JULIET ชุดนี้เข้ามาเติมเต็มความจริงจังให้กับตัวหนังมากขึ้นและทำให้เชื่อได้กับอะไรหลายๆ อย่างมาดูเป็นของจริง และจับต้องได้ กับการใส่จุดที่เหมือนเชื้อไฟให้เราเชื่อมาตลอดทางของหนัง

แถมบทบาทของตัวละครเสริมก็ไม่ได้ดูเหมือนตัวประกอบโดยเฉพาะ เคาท์ปารีส ที่มีความสำคัญมากขึ้น ไม่ใช่ผ่านมาแล้วผ่านไป แบบแค่เป็นจุดที่ทำให้ จูเลียต ต้องแกล้งตาย แต่สำคัญก่อนถึงจุดสำคัญ หรือแม้แต่ หลวงพ่อฟรานซิส ที่บทบาทสำคัญขึ้น, นอกจากนี้หนังยังทำให้ "เชื่อ" ได้อีกว่า ความรักของ จูเลียต กับ โรมิโอ เป็นความรักที่ทั้งสองรักกันแบบจริงๆ แบบไม่สามารถขาดอีกฝ่ายได้ ความจริงจังในฉบับนี้จึงทำให้เห็นว่าความรักของทั้งสองเป็นอะไรที่สามารถจับต้องได้เหมือนอยู่ในเหตุการณ์ และทำให้ฉากน้ำตานองในช่วงท้ายทำให้เราอินไปกับหนังได้ หนังยังบีบคั้นอารมณ์มากกับบทสรุปของทั้งสองในจังหวะที่โรมิโอกำลัง... และจูเลียตตื่นขึ้นมา โอ้คุณพระหนังทำร้ายจิตใจได้เว่อร์ๆ!!


จนถ้าเป็นไปได้อยากจะเปลี่ยนตัวเนื้อหาให้ โรมิโอ แห่ง มอนตาคิว กับ จูเลียต แห่ง คาปูเล็ต ทั้งคู่รอด แต่! มันทำไม่ได้ ข้อดีใหญ่ๆ เลยในฉบับนี้คือหนังมันเล่นกับอารมณ์ของตัวละครได้ดีและทำให้คุณดูรู้สึกอินไปกับความรักต้องห้ามของ จูเลียต และ โรมิโอ และถึงจะเดินเรื่องแบบลูกเล่นต่างกัน แต่หนังยังเคารพจิตวิญญาณของหนังไว้เหมือนเดิมครับ เพราะงั้นแฟน โรมิโอ และ จูเลียต ที่กลัวเนื้อหาและความงดงามจะเปลี่ยนไปนั้นไม่ต้องห่วง หนังเคารพอยู่น่ะ แค่ไม่มีวิธีการพูดแบบ เชกสเปียร์ ตลอดเรื่องเท่านั้นเอง มันไม่ได้ย้ำแย่เหมือนที่เห็นคะแนนในเว็บต่างประเทศหรอกน่ะครับ (ROTTENTOMATOES ฝั่งนักวิจารณ์ให้ 22% และคนดูให้ 58%; IMDB ให้ 5.2/10)

งานด้านภาพจัดว่าสวยเป็นอย่างมากและโปรดัคชั่นก็ทำได้สวยงามให้อารมณ์สไตล์หนังย้อนยุคเป็นอย่างมาก แถมข้อพิเศษเหนือกว่าที่ในฉบับนี้มีคือหนังถ่ายทำกันในอิตาลี และถ้าเจาะจงลงไปหนังถ่ายทำกันที่ เวโรน่า, แมนทัว ตามท้องเรื่องในนิยาย อะไรหลายๆ อย่างในหนังเลยดูสวยมากเป็นพิเศษ, ด้านการแสดง ดักลาส บูธ (LOL) ตีบทโรมิโอแตก!! บูธ เล่นดีมากในบท โรมิโอ บูธ เล่นขนาดทำให้เรารู้สึกรักโรมิโอจริงๆ แต่อาจจะเทียบกับ ลีโอนาร์โด้ ลำบากหน่อยอันนั้นทำไว้ เพอร์เฟกต์ ในด้านความหล่อ แต่บูธก็ทำได้ดีในส่วนอารมณ์การเข้าถึงบทบาท ส่วน ไฮลี่ สไตน์เฟลด์ ก็เล่นดี มีเคมีที่เข้าขาและลงตัวกับ ดักลาส บูธ เหมือนกับการนำฉบับ 1968 กับ 1996 มาผสมผสานกันจนได้ จูเลียต ฉบับนี้


แต่โดยรวมถ้าเทียบกับ จูเลียต สองฉบับก่อนหน้าอาจจะสู้ลำบากไปหน่อย แม้ตัวไฮลี่ อายุจะใกล้เคียงกับ จูเลียต ในฉบับนิยายก็ตาม อธิบายลงลึกหน่อยแบบไม่ได้อะไรน่ะ ไฮลี่ ยังขาดอะไรนิดๆ หน่อยๆ ไม่สวยเว่อร์เหมือนฉบับก่อนหน้าแค่นั้นล่ะ ส่วนนักแสดงคนอื่นๆ ชอบ คริสเตียน คู้ก ที่ไม่ได้เป็น เมอร์คิวชิโอ ที่ดูกระจอกงอกง่อยเหมือนฉบับก่อนหน้า และชอบ เอ็ด เวสต์วิค ที่เติมความจริงจังให้ ทิบอลต์ มากขึ้น และก็ชอบที่บท เบนโวลิโอ ของ โคดี้ สมิธ-แม็คฟี่ ที่ไม่ได้มาเป็นแค่ตัวประกอบแต่มีบทบาทอะไรมากขึ้น สรุปในส่วนตรงนี้ต้องรับเลยว่าด้านการแสดงของทีมนักแสดงเล่นดีกันหมดทุกคน โดยเฉพาะ ดักลาส บูธ ที่ตีบทแตกจริงๆ ในบท โรมิโอ!...

ปล. ขอบคุณบัตรรอบสื่อจาก MONO FILM มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

สรุป
ROMEO & JULIET (โรมิโอ & จูเลียต) ฉบับ 2013 ที่มี ดักลาส บูธ ตีบทแตกในบท โรมิโอ เป็นหนังที่ต้องยกความดีความชอบให้ทีมงานเบื้องหลังที่กระโดดเข้ามาเปลี่ยนโดยไม่ยึดติดฉบับก่อนหน้าและเติมเต็มความจริงจังให้กับเนื้อหามากขึ้น และทำให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น จนต้องยอมรับว่านี่เป็นอีกหนึ่งหนัง ROMEO & JULIET ที่ทำออกมาดีที่สุด...


ความยาวทั้งหมด 118 นาที
คะแนน 8.5/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger