SILVER LININGS PLAYBOOK / ลุกขึ้นใหม่หัวใจมีเธอ
ผู้จัดจำหน่าย : THE WEINSTEIN COMPANY
สตูดิโอผู้สร้าง : THE WEINSTEIN COMPANY, MIRAGE ENTERPRISES
ผู้กำกับ : เดวิด โอ. รัสเซลล์ (THE FIGHTER)
ประเภทของหนัง : COMEDY | DRAMA | ROMANTIC
“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”
มุมมอง
“ฟินนาเล่ สวยงามและสดใส โรแมนติด คอเมดี้ ดราม่า ลงตัว”
SILVER LININGS มาจากประโยคที่ว่า “Every cloud has a silver lining” หรือแปลเป็นไทยประมาณได้ว่า “ทุกก้อนเมฆยังมีแสงสีเงินที่พร้อมรองรับ” หรือสื่อได้ว่าทุกเรื่องเลวร้ายยังมีแสงสีเงินอยู่ แสงสีเงินในที่นี้หมายถึงโอกาศซึ่งสื่อถึงตัวละครนำทั้งสองในเรื่องที่เจอกับปัญหาแต่ก็ยังมีทางออกแก่ชีวิตได้ ส่วน PLAYBOOK คือกลยุทธ์ในกีฬา American Football ที่จะมีอยู่หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทั้งตั้งรับและบุก ซึ่งก็หมายถึงตัวละครในหนังเรื่องนี้ที่ต้องเจอกับปัญหาหลายรูปแบบทั้งจากตัวเองหรือคนรอบข้าง แต่ในอีกมุมคือจุดเชื่อมกับตัวกีฬาคนชนคนที่หนังเอามาเป็นเรื่องราวเกือบหลักๆ ซึ่งเมื่อนำสองอย่างมารวมกับ SILVER LININGS PLAYBOOK จะได้ความหมายโดยรวมว่า “กลยุทธ์แสงสีเงินเพื่อรับมือเรื่องเลวร้าย”
หนังนำเสนอโดยจุดศูนย์กลางของเรื่องอยู่ที่ แพท (แบรดลี่ย์ คูเปอร์) ชายหนุ่มที่เจอกับปัญหาชีวิตและต้องเข้าไปยังโรงพยาบาลเพื่อดูแลเป็นการพิเศษซึ่งปัญหาที่แพทเจอก็คือการเห็นภรรยาตัวเองมีอะไรกับผู้ชายอื่น ซึ่งในชีวิตของแพทเมื่อออกมาจากโรงพยาบาลก็พบเจอกับ พ่อ (โรเบิร์ต เดอนีโร) ที่เป็นพ่อที่เล่นแต่พนันรับมือพนันซึ่งหวังให้ลูกชายเชียร์ Philadelphia Eagles เพื่อเป็นตัวนำโชค และต้องพบเจอกับ ทิฟฟานี่ (เจนนิเฟอร์ ลอร์เลนซ์) หญิงสาวที่มีสถานะใกล้เคียงกับแพท ซึ่งเธอชวนให้แพทมาเต้นรำกับเธอ ซึ่งนี่คือเรื่องราวของ Silver Linings Playbook หนังใหม่ของ เดวิด โอ. รัสเซลล์ จาก THE FIGHTER...!!!
หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาที่เบากว่า The Fighter พอสมควรไม่ได้ดราม่ากันแบบสุดๆ อย่าง The Fighter แต่สำหรับ Silver Linings Playbook หนังมีอารมณ์ดราม่าน้อยลง มีความคอเมดี้จากตัวละครมากขึ้นหลายเท่า มีความโรแมนติคที่หาไม่ได้ใน The Fighter และที่สำคัญมีความเป็นหนังฟีลกู้ดอย่างเห็นได้ชัด แต่ทั้งสองเรื่องที่มีเหมือนกันนอกเหนือจากผู้กำกับแล้วก็คือทีมนักแสดงชั้นยอดและการเป็นงานที่ทรงพลัง แต่ทรงพลังนี่ก็ยังแตกต่างกันอยู่ดี ใน The Fighter หนังจบแบบสะใจและเป็นอะไรที่ดีมาก แต่ใน Silver Linings Playbook หนังจบแบบฟินนาเล่ คือสวยงามและงดงามกว่าอย่างเห็นได้ชัด
อีกทั้งมุมมองของตัวละครและรวมไปถึงธีมของเรื่องที่เน้นให้ตัวละครเกือบทุกตัวมีปัญหาในชีวิตมากมายที่เพื่อให้เข้ากับธีมของหนังนั่นก็คือการให้กำลังใจซึ่งเมื่อทั้งสองช่วยดึงจุดเด่นของกันและกันให้โดดเด่นทั้งตัวละครและธีมเรื่องอีกทั้งยังมีการดำเนินเรื่องที่เน้นจังหวะช้าๆ ตัดสลับไปกับ เร็วๆ หนังก็ทำในออกมาได้ดีเป็นอย่างมาก ซึ่งเมื่อทำได้ดีผลที่ได้คือหนังมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก อีกทั้งมุมมองของตัวละครในเรื่องที่แสดงให้เห็นว่า ปัญหาในชีวิตคนเรามันมีกันเป็นเรื่องปกติจนเป็นเหมือนเรื่องตลก แต่หากเราผ่านมันไปได้ทุกอย่างก็จะ "สวยงาม"
อีกส่วนที่หนังทำได้ดีก็คือ โรแมนติค กับ มุขตลก ที่หนังไม่ได้ยัดเยียดความโรแมนติคจนเอียนแต่ใส่ที่ละเล็กที่ละน้อยกับความสัมพันธ์ของตัวแพทและทิฟฟานี่ที่หนังเดินหน้าไปที่ละเล็กที่ละน้อยแต่ไม่ทิ้งจนคนดูลืม กับอีกส่วนคือมุขตลกที่หนังก็ไม่ได้พยายามยัดเยียดมากจนเกินไปแต่ปล่อยให้ทุกอย่างมาเมื่อถึงแก่เวลา แต่ได้ผลแบบชัดเจน ตั้งแต่อมยิ้มไปถึงหัวเราะแบบปลดปล่อยหนังก็ทำออกมาได้ดีเป็นอย่างมากถึงมากที่สุดครับ
จากการชิง 8 ออสการ์ที่ประกาศชื่อผู้เข้าชิงมีอยู่ 1 สาขาที่ผมสนใจเป็นอย่างมากก็คือ นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ที่ เจนนิเฟอร์ ลอร์เลนซ์ ในอันแรกก่อนอื่นของผูดถึง ผู้กำกับยอดเยี่ยม ไม่แปลกใจที่ได้เข้าชิงแต่ดูแล้วยังไงไม่น่าได้ออสการ์อย่างแน่นอนครับ แต่ที่สนใจคือจริงๆ คือ นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ที่ เจนนิเฟอร์ ลอร์เลนซ์ ได้เข้าชิงซึ่งเมื่อได้ดูเรื่องนี้แล้วไม่แปลกใจแม้แต่น้อยที่เธอได้เข้าชิงครับเพราะเธอเล่นได้ดีเป็นธรรมชาติเป็นที่สุดแสดงพัฒนาการความสุดยอดมากจริงๆ ไม่แปลกใจเลยหากวันประกาศผลเธอจะได้ออสการ์ไปนอนกอดเล่นประดับอาชีพการแสดงของเธอเพราะเธอสุดยอดจริงๆ โดยสรุปแล้ว Silver Linings Playbook เป็น “หนังที่ให้กำลังใจแด่ชีวิตได้ดีมากๆ เรื่องหนึ่ง มีมุมโรแมนติค และ ตลกที่ลื่นไหล จนเห็นความเป็นฟีลกู้ดอย่างเห็นได้ชัดครับ”
ความยาวทั้งหมด 122 นาที
คะแนน 9.5/10
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น