วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

RUROUNI KENSHIN: KYOTO TAIKA-HEN


RUROUNI KENSHIN: KYOTO TAIKA-HEN / รูโรนิ เคนชิน เกียวโตทะเลเพลิง


ผู้จัดจำหน่าย : WARNER BROS. PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : WARNER BROS. PICTURES
ผู้กำกับ : เคอิจิ โอโตโมะ (RUROUNI KENSHIN)
ประเภทของหนัง : ACTION

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
“ดูจบแล้วอารมณ์ค้าง ตอนที่สองของ ซามูไรพเนจร”


..หลังจาก RUROUNI KENSHIN หรือชื่อที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ “ซามูไรพเนจร” ถูก วอร์เนอร์ ประเทศญี่ปุ่นนำมาสร้างเป็นหนังฉบับคนแสดงแล้วประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่จนต้องเดินหน้าภาคต่อ โดยยังได้ ซาโต้ ทาเครุ กลับมารับบท เคนชิน อีกครั้ง โดยหนนี้ได้จับเอาภาคเกียวโต หนึ่งในช่วงเวลาที่แฟนๆ ทุกคนหวังให้หยิบเอามาทำเป็นหนัง เพราะนี่เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่จัดได้ว่าสนุกที่สุด ซึ่งเป็นการปะทะกันของสองอดีตมือสังหารอย่าง เคนชิน และ ชิชิโอ มาโคโตะ ซึ่งผู้มารับบท ชิชิโอ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ฟูจิวาระ ทัตสึยะ หรือผู้ที่แฟนๆ จดจำกันได้จากบท ยางามิ ไลท์ หรือ คิระ ใน DEATH NOTE ทั้งสองตอนนั้นเอง โดยหนนี้ได้ เคอิจิ โอโตโมะ กลับมาทำหน้าที่กำกับ!..

..ด้วยการที่ภาคศึกเกียวโตเป็นหนึ่งในช่วงที่กินเวลานานพอสมควร (แต่เอาจริงๆ ก็ไม่ถึงร้อยตอน) แถมด้วยที่ภาคนี้รายละเอียดมันเยอะมาก และตัวละครที่ปรากฏตัวในศึกนี้ก็เยอะมากทั้งฝั่งเคนชิน และ ฝั่งชิชิโอ เอาแค่ จุปปงกาตานะ นี่ก็ยังจำชื่อแทบไม่หมดแล้ว ภาคเกียวโตนี้ก็เลยแบ่งออกเป็นสองตอนอันได้แก่ตอน KYOTO TAIKA-HEN กับตอน DENSETSU NO SAIGO-HEN ซึ่งที่มีโอกาศได้ฉายในบ้านเราแล้วก็คือภาค KYOTO TAIKA-HEN นั่นเอง (นี่ยังไม่ถึงภาคทัณฑ์มนุษย์ที่สู้กับ เอนิชิ น่ะเนี่ย) แล้วเราก็เอามาพูดถึงในครั้งนี้นั่นเอง..


..ตามสไตล์หนังที่ต้องเก็บรายละเอียดเยอะๆ การที่หนังแบ่งสองตอนมักจะมีข้อดีและก็เป็นข้อเสียไปในตัว และข้อดีอย่างหนึ่งของภาคนี้ก็คือการที่แบ่งออกมาเป็นสองภาคทีมงานจะได้มีเวลาเก็บรายละเอียดต่างๆ ในฉบับมังงะมาทำเป็นหนังได้ (แฟนๆ จะได้ไม่บ่น) และนั่นก็เป็นข้อดีที่แฟนๆ จะได้ดูสองภาคยาวๆ ติดๆ และนั่นก็เป็นข้อเสียที่หนังมีเหมือนกันคือมันจะทำให้อารมณ์ค้างเมื่อหนังจบเพราะมันจะเกิดอารมณ์อยากดูตอนต่อแล้ว ยกตัวอย่างเมื่อปีที่แล้วกับ THE HOBBIT: THE DESOLATION OF SMAUG (ปีเตอร์ แจ็คสัน, 2013) กับ THE HUNGER GAMES: CATCHING FIRE (ฟรานซิส ลอร์เลนซ์, 2013) นี่จบได้ค้างคามาก จนอยากดูตอนต่อมากถึงมากที่สุด..

..เคนชินภาคนี้จบแบบนั้นเลยครับ เพราะ เคนชิน ยังไม่ได้สู้กับ ชิชิโอ แม้แต่น้อย ส่วน โซจิโร่ นั้น เคนชิน ก็ยังเอาชนะไม่ได้ ฟีลมันค้างมากๆ นี่ยังไม่พูดถึงตอนจบอีกน่ะ [สปอยล์] ที่ท่านอาจารย์เซจูโร่เดินมาอุ้มเคนชินไปอีก พูดได้อย่างเดียวครับว่า ตูอารมณ์ค้างเว้ย! .... ด้วยการที่หนังกินเวลาเพราะเก็บรายละเอียด สเกลที่หนังใช้ก็ตั้งแต่โตเกียวยันเกียวโต หนังจึงเดินได้เนิบนาบเป็นอย่างมาก เก็บรายละเอียดต่างๆ ไปอย่างช้าๆ และให้เวลากับ "เนื้อหา" ของหนังเต็มๆ แบบไม่รีบร้อนอะไร แต่ก็สามารถเก็บรายละเอียด "ทุกอย่าง" ที่จะไปสำคัญในภาคต่อไปได้อย่างครบถ้วนไม่มีตกหล่น (แต่เอาจริงๆ ถ้าดำเนินเรื่องรวดเร็วกว่านี้จะดีมาก)..


..การปรากฏตัวของกลุ่มโอนิวาบัง ทั้ง ชิโนโมริ อาโอชิ (จริงๆ ตามเนื้อหามันควรจะปรากฏตัวตั้งแต่ภาคแรกแล้ว) ก็ปรากฏตัวได้อย่างโดนมาก และหนังก็อธิบายความแค้นที่มีต่อ เคนชิน และเป็นเหตุผลที่ทำไม อาโอชิ จึงต้องการเอาชนะเคนชิน และเอาคำว่า 'สุดยอด' มาแปะหน้าหลุมศพลูกน้อง โดยยังเคารพมังงะได้ในเวลาสามนาที! ไหนจะสมาชิกโอนิวาบังทั้งหมดในเกียวโตหนังก็ปล่อยเวลาให้พอสมควร (โดยเฉพาะแม่หนู มิซาโอะ ที่ได้ สึจิยะ ทาโอะ มารับบท นี่น่ารักได้ใจมาก)..

..มาถึง ไฮไลท์ สำคัญอย่าง ชิชิโอ มาโคโตะ ภาคนี้ยังไม่ได้โชว์สกิลอะไรมากนัก นอกจากการเล่าอดีตและทดลองดาบ นอกนั้นพูดได้ว่าเอามายืนเท่ห์และโชว์ความสง่าเท่านั้น คนที่ได้โชว์เต็มๆ คือ ดาบสวรรค์โซจิโร่ (คามิกิ ริวโนะสุเกะ) กับ นักล่าดาบโจ (มิอุระ เรียวสุเกะ) ที่ได้โชว์ความเมพในภาคนี้เท่านั้น พูดถึง โจ นี่ถ้าไม่ได้ มิอุระ เรียวสุเกะ ผู้เคยรับบท อังค์ ใน คาเมนไรเดอร์ โอซ มารับบทนี้ก็นึกไม่ออกน่ะว่าจะมีใครเหมือนเจ้าโจได้เท่านี้จริง..


..ภาคนี้ฉากแอ็คชั่นยังคงได้เรื่องเหมือนเดิม เหมือนกับภาคแรกฉากแอ็คชั่นใหญ่ๆ ยกไปไว้เกือบท้ายเรื่อง ซึ่งภาคนี้ทำได้ยอดเยี่ยมเหมือนกันภาคแรก แต่ดูแล้วภาคนี้ฉากแอ็คชั่นดูยังปล่อยไม่สุดเหมือนกะเอาไว้ปล่อยเต็มที่ในภาคต่อไป อีกทั้งในฉากแอ็คชั่นการได้ดนตรีที่ ซาโต้ นาโอกิ เคยทำไว้ในภาคแรกมาใช้ก็ถือเป็นอีกส่วนสำคัญที่หนังเอามาใช้ได้เกินประโยชน์มากในภาคนี้ โดยรวมนี่เป็นหนังที่เราใช้เวลาได้คุ้มค่ากับมันมาก ดูจบก็ วอนท์ ยังดูภาคต่อไปแล้ว โดยรวมภาคนี้ทุกอย่างถือว่าดีมาก ถ้าไม่ติดว่า พันธมิตร พากย์จนเป็นหนังตลกครับ...


ความยาวทั้งหมด 139 นาที
คะแนน 8/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น