วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

THE HUNGER GAMES: CATCHING FIRE


THE HUNGER GAMES: CATCHING FIRE / เกมล่าเกม 2 แคชชิ่งไฟเออร์


ผู้จัดจำหน่าย : LIONSGATE
สตูดิโอผู้สร้าง : COLOR FORCE, LIONSGATE
ผู้กำกับ : ฟรานซิส ลอร์เลนซ์ (I AM LEGEND)
ประเภทของหนัง : ACTION | ADVENTURE | DRAMA

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอัธรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
“จำไว้ใครคือศัตรูที่่แท้จริง, ปีกแห่งไฟ! ที่ทำได้อารมณ์ในหนังสือ!!”


ถ้าเอาตามความจริง ถ้านับนิยายไตรภาคเกมล่าชีวิตผู้เขียนชอบเล่มไหนสุด ผู้เขียนขอยก CATCHING FIRE (ปีกแห่งไฟ) เป็นเล่มที่ดีที่สุด เพราะเนื้อหาอะไรหลายๆ อย่างในนิยายจัดว่าลงตัวในทุกๆ ด้าน ทั้งการเล่าเรื่องที่ทำให้ติดตามไปตลอด แถม ฉากใน ควอเตอร์เควล ก็เป็นอะไรที่ระทึกสุดๆ! กับ THE HUNGER GAMES: CATCHING FIRE ภาคต่อของงานฮิต THE HUNGER GAMES ผู้เขียนเลยตั้งความหวังไว้ที่สุด! ซึ่งพอได้ดูแล้วก็ต้องขอบอกว่าไม่ผิดหวังจริงๆ ครับ แถมในภาคนี้หนังยังเปลี่ยนผู้กำกับจาก แกรี่ รอสส์ มาเป็น ฟรานซิส ลอร์เลนซ์ (I AM LEGEND) !

อย่างแรกถ้ามองในแง่ของการดัดแปลงนิยายมาเป็นภาพยนตร์ คนเขียนบทในภาคนี้ทั้ง ไซม่อน โบฟอย (SLUMDOG MILLIONAIRE, 127 HOURS) กับ ไมเคิล อาร์นท์ (LITTLE MISS SUNSHINE, TOY STORY 3) ต้องยอมรับว่าทั้งคู่ดึงส่วนผสมที่อยู่ในนิยายของ ซูซาน คอลลินส์ มาทำเป็นเรื่องราวได้อย่างดี อะไรที่ตัดได้ก็ตัดอะไรที่ไม่จำเป็นก็ทิ้งไป แต่ยังคงอะไรที่สำคัญๆ ไว้อยู่อย่างครบถ้วน นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มเติมอะไรเล็กๆ น้อยลงไปด้วย ทำให้บทหนังในภาคนี้มีส่วนผสมของความลงตัวและได้อารมณ์ที่นิยายนำเสนอ ซึ่งถ้าต้องคิดเป็นเปอร์เซนต์ในการดัดแปลงน่าจะอยู่ประมาณ 75-80 เปอร์เซนต์ที่หนังยังเก็บไว้


การดำเนินเรื่องในภาคนี้ต้องยอมรับเลยว่าสนุกกว่าภาคแรกระดับนึง (ต้องยกความดีความชอบให้ตัวนิยายด้วยที่วางเรื่องราวได้ชวนติดตาม) ไม่มีช่วงที่น่าเบื่อเลยก็ว่าได้ อาจจะเสียเวลาก่อนเข้าสู่ควอเตอร์เควลนานไปหน่อยแต่นั้นก็เป็นการปูเนื้อหาที่ขาดและข้ามไม่ได้ ซึ่งพอ ประธานาธิบดีสโนว์ ประกาศควอเตอร์เควลแล้วเนี่ยล่ะเป็นอะไรที่เบรคไม่อยู่เพราะตามนิยายเป็นอะไรที่สุดยอดมาก! ตั้งแต่การกลับมาเป็นเครื่องบรรณาการอีกครั้งของ แคทนิส กับ พีต้า ไปจนถึงการฝึกซ้อมและก็การพูดคุยกับ ซีซ่าร์ ฟลิกเกอร์แมน (สแตนลี่ย์ ทุชชี่) ที่พีคมาก แต่พีคแค่นั้นไม่พอเพราะพอเข้าอารีน่าแล้วไม่ต้องมีคำบรรยายเป็นอะไรที่โคตรพีคและโคตรสนุก!!

หนังทำออกมาได้เหมือนหนังสือและคงอารมณ์และจิตวิญญาณของตัวนิยายไว้ และเนื้อหาของหนังทั้งเรื่องที่ทำได้ทรงพลัง เป็นส่วนผสมความลงตัวที่เน้นเนื้อหาดราม่าและเรื่องราวได้ออกมาดี ยิ่งฉากแอ็คชั่นในอารีน่าที่อัดเต็มอย่างยาวนานเกิน 40 นาที ถ่ายทอดตัวอักษรในนิยายให้เป็นภาพได้อย่างสวยงามและลงตัวต้องยอมเลยว่าทีมงานในภาคนี้ทำการบ้านมาดีจริง


การเปลี่ยนจากผู้กำกับจาก แกรี่ รอสส์ มาเป็น ฟรานซิส ลอร์เลนซ์ เป็นข้อดีใหญ่สุดของหนัง ฟรานซิส ลอร์เลนซ์ (ที่ไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดกับ เจนนิเฟอร์ ลอร์เลนซ์) เข้ามายกระดับเรื่องราวให้ดูยิ่งใหญ่มากขึ้น จริงจังมากขึ้นแต่คงความสนุกไว้ และอีกข้อดีที่ ฟรานซิส ลอร์เลนซ์ นำเข้ามาก็คือการใช้กล้องที่งานนี้ไม่มีภาพสไตล์แฮนด์เฮลแล้ว ลอร์เลนซ์ ที่เคยผ่านงานใหญ่อย่าง I AM LEGEND มาเข้ามาทำฉากในอารีน่าให้อลังการมากขึ้นโดยเฉพาะหากได้ดูแบบ IMAX จะเห็นได้ว่ายิ่งใหญ่และอลังการงานสร้างมากขึ้นจริงๆ (หนังถ่ายทำแบบ IMAX ในฉากอารีน่า), ด้านการแสดงเล่นดีทุกคนไม่นับ เจนนิเฟอร์ ลอร์เลนซ์, จอช ฮัทเชอร์สัน, เลียม เฮมส์เวิร์ธ, เอลิซาเบธ แบงค์ส และก็ วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน รวมถึง โดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์ ที่เล่นดีกันอยู่แล้ว

พวกที่เข้ามาเพิ่มทั้ง แซม แคลฟฟิน ในบท ฟินนิค โอแดร์, เจน่า มาโลน ในบท โจแฮนน่า และ เจฟฟรีย์ ไรท์ ในบท บีที (ที่ตรงตามจินตนาการแบบเป๊ะๆ!) ล้วนเล่นดีหมด, รีวิวนี้ไม่กล่าวอะไรมากเพราะถ้าเยอะรับรองสปอยล์จนจบม็อคกิ้งเจย์แน่ ไอ้ที่เขียนๆ อยู่นี่ก็พยายามเขียนให้ไม่มีสปอยล์เท่าไร เลยเขียนออกมาขาดๆ เกินๆ ไปนิด...


ความยาวทั้งหมด 146 นาที
คะแนน 9.5/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger