วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

X-MEN: DAYS OF FUTURE PAST


X-MEN: DAYS OF FUTURE PAST / X-เม็น: สงครามวันพิฆาตกู้อนาคต


ผู้จัดจำหน่าย : 20TH CENTURY FOX
สตูดิโอผู้สร้าง : BAD HAT HARRY PRODUCTIONS
ผู้กำกับ : ไบรอัน ซิงเกอร์ (X-MEN, X2, SUPERMAN RETURNS)
ประเภทของหนัง : ACTION | ADVENTURES | FANTASY

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
“กดปุ่มรีเซ็ทจักรวาล X-เม็น - 
หนังที่ดีที่สุดของแฟรนไชส์ X-เม็น และ 
หนึ่งในหนังที่ดัดแปลงจากคอมิคส์ของมาร์เวลที่ดีที่สุด”


นับแต่ X-MEN: THE LAST STAND ของ เบรทท์ แรทเนอร์ ก็ต้องนับว่าเส้นเรื่องในจักรวาลเริ่มเละเทะ แม้จะมี X-MEN: FIRST CLASS ของ แมธธิว วอห์น ที่เสกสรรค์ให้หนังกลายเป็นหนังโคตรดี แต่ในส่วนไทม์ไลน์นั้นตีกันเละเทะกันแบบสุดๆ นี่ยังไม่นับรวมภาคแยกของ วูลฟ์เวอรีน ทั้งสองภาคที่ทำคนดูงงกันเล่นๆ โดยเฉพาะภาค ORIGINS แต่ก็ไม่รู้ว่าทาง ฟ็อกซ์ อิจฉาตาร้อนทางด้านของ มาร์เวล หรือ โซนี่ ที่ทำหนังให้เส้นเรื่องออกมาตรงเป็นเส้นเดียวแล้วทำเงินถล่มทลาย ฟ็อกซ์ เลยส่งโปรเจ็คต์ X-MEN: DAYS OF FUTURE PAST ของ ไบรอัน ซิงเกอร์ ที่กลับมาสานต่อสิ่งที่เข้าสร้างไว้ เพื่อล้างและรีเซ็ทเรื่องราวใหม่หมดโดยไม่ต้องรีบู๊ตหรือเล่าใหม่ให้ยุ่งยากและลำบาก!

“นายคือคนที่ฉันเคยไปหา งั้นฉันจะพูดคำที่นายบอกฉันไว้ล่ะ 'ใสหัวไปซ่ะ' !!” - ความน่าสนใจใน X-MEN: DAYS OF FUTURE PAST นี้ไม่ได้น่าสนใจแค่ในด้านที่หนังทำเอาเรื่องของมิวแทนส์ที่โดนล่าโดยหุ่นเซนทิเนลจนเกือบสูญพันธ์ และใช้แนวทางอ้างอิงจากหนึ่งในตอนที่ดีที่สุดของ THE UNCANCY X-MEN "DAYS OF FUTURE PAST" แต่กับการที่หนังเอาเรื่องการย้อนเวลามาเพื่อแก้ไขอดีตมาผนวกเข้ากับการเดินทางเปลี่ยนประวัติศาสตร์ แถมในภาคนี้ทำเจ๋ง (กว่า FIRST CLASS) กับการนำเอาเหตุการณ์จริงๆ มาแทรกในเนื้อเรื่อง (ในที่นี้คือ เหตุการณ์ลอบสังหาร จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ และ สงครามเวียตนาม) ได้อย่างแนบเนียนอย่างไม่น่าเกลียด และคิดได้ว่าเก่งดีที่เอามาใส่ในเนื้อหาแล้วไม่ดูขัดกับภาพรวมของหนังแถมส่งเสริมด้วยซ้ำ


แต่ความน่าสนใจที่แท้จริงคืออดีตที่สานต่อจาก FIRST CLASS กับความสิ้นหวัง, ความสูญเสีย และการเติบโตของตัวละคร อย่าง ชาร์ลส เซเวียร์, เอริค เลนช์เนอร์, มิสติค, เป็นต้น โดยเฉพาะ ชาร์ลส เซเวียร์ ที่ไม่ได้เป็น โปรเฟสเซอร์ X ที่แสนดีผู้คอยชี้น้ำเหล่ามิวแทนส์วัยรุ่น อย่างที่เห็นในไตรภาคแรก เป็น ชาร์ลส เซเวียร์ ผู้อมทุกข์ กับการสูญเสียคนที่รัก, เพื่อนรัก จนยอมทิ้งพลังเพื่อให้เดินได้และข่มตานอนหลับได้ ในหนังภาคนี้เราจะได้เห็นการเติบโตอย่างแท้จริงของ ชาร์ลส กับการก้าวข้ามความเจ็บปวดที่ผ่านมาสู่การเป็นคนที่เหล่ามิวแทนส์ไว้ใจแม้นั้นจะทำให้เขาต้องพบเจอกับความเจ็บปวดอันหนักหนาสาหัสก็ตามที

ส่วนทางด้าน แม็กนีโต้ และ มิสติค ก็ถือว่าโดดเด่นมากพอสมควรเลยทีเดียว โดยเฉพาะตัว มิสติค ที่เด่นมากในหนังภาคนี้ยิ่งทำให้ใกล้เคียง มิสติค ในไตรภาคแรกมากขึ้นไปอีก ส่วนตัวละครอื่นๆ ในภาคนี้ ทั้งสองพาร์ท ทั้งอดีตและก็อนาคตถือว่าใช้ประโยชน์ได้ (เกือบ) คุ้ม อย่างกลุ่มอนาคตที่รู้สึกใช้ได้คุ้มค่ามากๆ คือ บลิงค์ (ฟ่านปิงปิง) ที่โดดเด่นจนกลบคนที่ควรจะเด่นทั้ง โปรเฟสเซอร์ X, แม็กนีโต้, บรรดากลุ่มสมาชิกอนาคตทั้งหลายซ่ะไม่มีชิ้นดี แต่ในส่วนของกลุ่มพาร์ทอดีต วูลฟ์เวอรีน กับ บีสต์ โดดเด่นเพราะเป็นกลุ่มที่เป็นตัวดำเนินเรื่อง โบลิวาร์ ทราสค์ และ วิลเลี่ยม สไตรเกอร์ โดดเด่นใช้ได้ แต่ที่โดดเด่นและขโมยซีนที่สุดในภาคนี้คือ "ควิกซิลเวอร์" (อีแวนส์ ปีเตอร์ส) ทั้งความกวนทีนและเท่ไปพร้อมๆ กัน (แหกคุยมันผิดกฏหมายรู้มั้ย แต่มองไปรอบๆ ของที่มันขโมยมาเต็มห้อง)


ถ้าไม่นับคอสตูมของ ควิกซิลเวอร์ ที่ใส่ใน DAYS OF FUTURE PAST ที่ชวนให้ลมจับในความคิดสร้างสรรค์ของฝ่ายคอสตูมภาคนี้ แต่ตั้งแต่วินาทีที่ควิกซิลเวอร์เริ่มฟังเพลงและสวมแว่นกันลม (จริงๆ ตั้งแต่ฉากในลิฟท์ก็ว่าได้) แล้วเริ่มออกวิ่งไปรอบห้องครัวในทำเนียบขาวนี่คือความคุ้มค่ามากที่ได้เข้ามาดูหนังเรื่องนี้ (ไบรอัน ซิงเกอร์ คงต้องจดหมายขอบคุณโตเอะที่ทำให้เห็นแนวทางว่าการเคลื่อนที่โดยความเร็วสูงมันเป็นยังไง ต้องขอบคุณระบบ คล็อคอัพ ใน คาเมนไรเดอร์ คาบูโตะ จริงๆ) นั่นทำให้งานหนักในการสร้างสรรค์ ควิกซิลเวอร์ กระโดดข้ามไปที่ จอสส์ วีดอน และ แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน ที่จะทำไงให้ ควิกซิลเวอร์ ใน AVENGERS: AGE OF ULTRON เด่นเท่า DAYS OF FUTURE PAST

หนังอาจจะมีฉากแอ็คชั่นไม่เยอะและไม่เต็มอิ่มสำหรับคนที่จะมาดูเหล่า มิวแทนส์ ตีกัน นับดูดีๆ ฉากแอ็คชั่นใหญ่ๆ มีเพียงแค่ ฉากเปิดเรื่อง, ฉากของควิกซิลเวอร์, ฉากตีกันที่ฝรั่งเศส และฉากท้ายที่ทำเนียบขาว แถมแต่ล่ะฉากก็ไม่ยาวด้วย เพราะหนังเน้นไปที่เนื้อหามากกว่าฉากแอ็คชั่นจริงๆ แถมไม่คิดเลยว่า ใน DAYS OF FUTURE PAST จะทำออกมาดีถึงขนาดนี้ ที่ทำออกมาได้น่าติดตามไปตั้งแต่ต้นจนจบ คือถ้าคิดว่า X-MEN: FIRST CLASS ดีที่สุดของแฟรนไชส์แล้วใน X-MEN: DAYS OF FUTURE PAST ดีขึ้นกว่าอีกน่ะครับ แถมนอกจากภาคนี้จะออกมาดีแล้ว ยังสามารถรีเซ็ทจักรวาล X-เม็น ของฟ็อกซ์ได้แบบยิงปืนนัดเดียวได้นกเป็นสิบตัวเลยทีเดียว


[อาจจะมีสปอยล์] 1). ถือว่าความพิดพลาดและการสูญเสียตัวละครแบบโง่ๆ ที่ไม่จำเป็นอย่างเช่น ไซคลอปส์ และ จีน เกรย์ ใน X2 กับ X-MEN: THE LAST STAND และอาจจะรวมถึง THE WOLVERINE ไม่เคยเกิดขึ้น 2). บางทีสามารถลบอะไรที่มั่วใน X-MEN ORIGINS: WOLVERINE ไปได้อย่างเช่นตัว เด็ดพูล หรือเปลี่ยนที่มาที่ไป แกมบิท ได้ แต่เหตุการณ์ยังคงเกิดขึ้น รอดูเพิ่มเติมต่อไป 3). หากคิดจะทำ X-FORCE ประตูเปิดเรียบร้อยเพราะทั้ง สก็อตต์ และ จีน กลับมาแล้ว หนทางในการแนะนำ เคเบิล มาแล้วเรียบร้อย ไมมั่นใจว่าเด็กผมขาวต้นเรื่องใช่หรือไม่ (แม้ความจริงจะเป็นร่างโคลนจีนต่างหากที่เป็นแม่ เคเบิล) 4). แต่หากคิดจะดู X-MEN แบบมาราธอนก็จำเป็นทุกภาคอยู่ดี

ถึงแม้ท้ายที่สุดแล้วหนังอาจจะไม่ได้เคลียร์ปมและรีเซ็ทให้ทุกอย่างตรงตามคอมิคส์ (เอาแค่ ฮาว็อค หรือ อเล็กซ์ ซัมเมอร์ ที่เป็นพี่น้องกับ ไซคลอปส์ (สก็อตต์ ซัมเมอร์) ก็แก้ลำบากแล้วเพราะไทม์ไลน์ตรงนี้พลาด ซิงเกอร์ เคยบอกว่าในฉบับหนัง อเล็กซ์ และ สก็อตต์ ไม่ใช่พี่น้องกันแต่มีบางสิ่งเชื่อมกัน) แต่ก็น่าชื่มชมและน่าปรบมือให้กับ ไบรอัน ซิงเกอร์ และคนเขียนบทอย่าง ไซม่อน คินเบิร์ก (ที่ในอนาคตข้างหน้าจะได้ดูหนังจากการเขียนบทของแกทั้ง THE FANTASTIC FOUR, X-MEN: APOCALYPSE) ที่สามารถเซ็ทเรื่องราวใหม่และสามารถหากินกับจักรวาลนี้ได้อีกนานแสนนาน น่าสงสัยว่า แกรีไรท์บทกันกี่รอบหนังถึงออกมาดีได้แบบนี้จริง


ด้านเอฟเฟกต์ทุน 225 ล้านคงไม่มีอะไรต้องตำหนิ แต่แอบเศร้าที่หนังใช้ระบบเสียงไม่คุ้มเท่าไร (แอบไปดูในระบบเสียงอัจฉริยะ ดอลบี้ แอทมอส ที่ค่าตั๋วแพงบรรลัย แพงขนาดนี้ดู IMAX เถอะครับ (ถ้าเข้าทั้งสองแบบ)) แต่ที่ทำได้ดีคือระบบ 3มิติ ครับ หนังเน้นและเล่นกับความลึกของภาพมากครับ ไม่ได้มีอะไรพุ่งออกมา แต่ต้องบอกว่าหนังใช้ 3มิติได้คุ้มค่าจริงอะไรจริง

สรุปแล้ว X-MEN: DAYS OF FUTURE PAST ถือเป็นหนังที่ดีที่สุดของแฟรนไชส์ X-เม็น ครับ และบางทีอาจจะเป็นหนึ่งในหนังที่ดัดแปลงจากคอมิคส์ของมาร์เวลที่ดีที่สุด ซึ่งหลังดูจบกับเอนด์เครดิตนี่ต้องรออีกสองปีเพื่อจะได้ดู X-MEN: APOCALYPSE เลยเหรอเนี่ย อ่อ หนังพาคนดูฟินด้วยการได้เห็น จีน เกรย์ (แฟมเก้ แจนเซ่น), ไซคลอปส์ (เจมส์ มาร์เดนส), บีสต์ (เคลซี่ย์ แกรมเมอร์) และ โร้ค (แอนนา พาควิน) กลับมาโผล่แบบเซอร์ไพรซ์แบบน้ำตาแทบไหลจนอยากจะบอกอะไรกับพวกเขาและเธอที่ได้กลับมา ขอยืมคำพูด โปรเฟสเซอร์ X พูดกับ โลแกน ในตอนที่กลับมาในตอนจบว่า ที่ว่า “ยินดีต้อนรับกลับ!”...

“คนๆ หนึ่งสะดุดล้มแล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะสะดุดล้มตลอดไป”


ความยาวทั้งหมด 131 นาที
คะแนน 10/10

1 ความคิดเห็น: