วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

THE WOLVERINE


THE WOLVERINE / เดอะ วูล์ฟเวอรีน


ผู้จัดจำหน่าย : 20TH CENTURY FOX
สตูดิโอผู้สร้าง : MARVEL ENTERTAINMENT, DUNE ENTERTAINMENT
ผู้กำกับ : เจมส์ แมนโกลด์ (WALK THE LINE, 3:10 TO YUMA)
ประเภทของหนัง : ACTION | ADVENTURE

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
“นี่ไม่ได้เป็นหนังของ วูล์ฟเวอรีน
แต่เป็นหนังของชายที่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์นามว่า โลแกน!”


X-MEN ORIGINS: WOLVERINE ออกฉายไปเมื่อปี 2009 พร้อมกับเอนด์เครดิตสองแบบคือ แบบแรกจะเป็น มือของเด๊ดพูลขยับมาเก็บหัวของตัวเองพร้อมกับการเปิดปาก และแบบที่สองคือ วูล์ฟเวอรีน ไปที่ญี่ปุ่น ซึ่งจะแตกต่างกันในเรื่องการฉายของแต่ละประเทศ ซึ่งไอ้ครั้งนั้นก็มั่นใจว่ายังไงก็คงมีภาคต่อแต่แล้วก็มีจริงๆ แต่แทนที่จะเล่าอดีตของ วูล์ฟเวอรีน ต่อกลายเป็นว่าเล่าเรื่องราวของ โลแกน หลังจากเหตุการณ์สงครามมนุษย์กลายพันธุ์หลังจบ X-MEN: THE LAST STAND แทนซะได้ซึ่งเท่ากับว่านี่จะเป็นไทม์ไลน์หลังสุดในซีรี่ย์นี้แทนซึ่งใน THE WOLVERINE จะได้ เจมส์ แมนโกลด์ มากำกับและแน่นอนว่า ฮิวจ์ แจ็คแมน กลับมารับบทเป็น วูล์ฟเวอรีน เป็นครั้งที่หก!!

ต้นซัมเมอร์ที่ผ่านมามาร์เวลส่ง IRON MAN 3 หนังที่พาเราไปสู่ภาพยนตร์ของชายภายใต้ชุดเกราะเหล็กอย่าง โทนี่ สตาร์ค ไม่ใช่หนังของ ไออ้อนแมน ซึ่งก็เหมือนกัน THE WOLVERINE ไม่ได้พาเราไปสู่หนังที่เป็นของมนุษย์กลายพันธุ์นามว่า วูล์ฟเวอรีน แต่พาเราไปสู่หนังที่เป็นหนังของชายที่มีนามว่า "โลแกน", ใน IRON MAN 3 โทนี่ สตาร์ค ต้องต่อสู้โดยไร้ชุดเกราะเกือบๆ 70% ของเรื่อง ใน THE WOLVERINE โลแกนไม่ได้เป็นวูล์ฟเวอรีนอีกต่อไปเป็นเพียงมนุษย์กลายพันธุ์ที่ชื่อว่า โลแกน ไร้พลังรักษาตัวเองและพร้อมตายจากน้ำมือของศัตรูได้ตลอดเวลา และหนักที่สุดงานนี้โลแกนต้องสู้ด้วยตัวคนเดียวไร้ทีม X-MEN หรือ มนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นเข้ามาช่วย ซึ่งตรงนี้เป็นส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดของหนังเพราะทำให้รู้ว่านี่เป็นหนังของ โลแกน จริงๆ


ตลอดเรื่องหนังไม่ได้พาคนดูไปดูแค่ตัวโลแกนยามไร้พลังแต่หนังยังพาคนดูไปสำรวจจิตใจข้างในของโลแกนด้วยซ้ำ ผ่านความฝันหรือจิตใต้สำนึกของโลแกนที่มีชื่อว่า จีน เกรย์! ซึ่งตรงส่วนนี้เองที่เป็นส่วนที่ทำให้ได้เห็นจิตใจข้างในโลแกนได้มากเป็นพิเศษ และไม่เพียงเท่านั้นตัวเรื่องราวในปัจจุบันที่มีผลกระทบจากอดีตของโลแกนก็เป็นอีกส่วนที่กระทบไปยังเรื่องราวของโลแกนในตัวเรื่องราวได้เป็นพิเศษ จะเห็นโลแกนแตกต่างกว่าที่เคยพบเห็น จะเห็นโลแกนเหมือนเป็นคนอมทุกข์และแบกโลกไว้ทั้งใบ เห็นโลแกนเจ็บปวดกว่าที่ผ่านมา หนังนำเสนอส่วนนี้แบบตรงไปตรงมาไม่มีอ้อมค้อม เล่นกับจิตใจของโลแกนได้มากเป็นพิเศษโดยไม่ต้องไปสนอย่างอื่นเพราะนี่เป็นหนังของโลแกน

แถมหนังยังพาโลแกนไปพบเจอกับสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ภาษาและโลกที่ไม่คุ้นเคย เป็นไกจินที่ต้องเจอการต่อสู้ที่แตกต่าง เรื่องราวที่แตกต่าง และตราบาปของตัวเองในอดีต ณ จุดนี้ตัวบทของหนังก็เลือกที่จะตรงไปตรงมาแบบไม่ต้องอ้อมค้อมเลือกที่จะตรงไปข้างหน้าโดยไม่หันหลังกลับมามอง แต่หนังก็ไม่ลืมที่จะทิ้งปมให้ไปสะสางไปเรื่อยๆ ผ่านบทพูด หรือ การกระทำของตัวละครทั้งหลายในเรื่อง ซึ่งไอ้ปมทั้งหลายเนี่ยอาจจะซับซ้อนและไม่ซับซ้อนบ้างผสมกันไปแต่อย่างน้อยก็ไม่เสียเปล่าเพราะที่ใส่มาก็สามารถดึงคนดูไว้ตลอดเรื่องได้ อาจจะมีช่วงที่ดูเยอะไปบ้างในการเล่าเรื่องในช่วงของกลางๆ เรื่องที่ไม่มีฉากแอ็คชั่นเลยเพราะเน้นที่การเล่าเรื่องแต่ก็ดีที่มีมุขตลกมาแทรกเข้ามาเสริมไปตลอด ก็เลยไม่ดูน่าเบื่อมากนัก แถมที่ใส่มาก็นับว่าเวิร์ค


ซึ่งพอมาเอาส่วนปมปัญหาและการเล่าเรื่องมารวมๆ กับฉากแอ็คชั่นที่หนังขนใส่เข้ามาซึ่งมีความแปลกใหม่และแตกต่างจากหนังซูเปอร์ฮีโร่อาทิฉากแอ็คชั่นบนรถไฟชินกันเซ็นที่วิ่งอยู่ด้วยความเร็วสูงสุด หรือฉากกลางๆ เรื่องที่ ชินเง็นสู้กับยูคิโอะและโลแกนที่ดูเหมือนเป็นหนังแอ็คชั่นดิบๆ และอารมณ์และสวยงามของทักษะนักดาบ หรือฉากในช่วงท้ายที่โลแกนสู้กับซิลเวอร์ซามูไรและมีจุดเซอร์ไพรซ์บางอย่างที่แตกต่างจากคอมิคส์ ก็ทำให้หนังมีความลงตัวในหลายๆ ส่วนเป็นอย่างมาก ซึ่งพอมามองย้อนดูก็ต้องชื่นชมตัวบทหนังที่ทำออกมาได้ดีและเล่าเรื่องได้ดี มีความแปลกใหม่แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียด ปมปัญหาที่เล่นก็ทำได้ดี แถมในส่วนของฉากแอ็คชั่นก็ไม่ได้เยอะจนล้นแต่มาในระดับพอดีและไม่ได้เยอะจนดูน่าเกลียดอะไร

THE WOLVERINE ก็เหมือนกับหนังซูเปอร์ฮีโร่ยุคใหม่ที่พยายามเน้นที่เรื่องราวและตัวละครเป็นตัวขับเรื่องราวและ THE WOLVERINE ก็เป็นเช่นนั้นตลอดระยะเวลาความยาวของหนัง หนังทำได้ดีมาก (หากมองที่ว่านี่เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่) ซื่อตรงต่อคนดูวงกว้างและซื้อใจแฟนที่ติดตามคอมิคส์ได้ด้วยซ้ำกับการพาโลแกนไปเจออะไรใหม่ๆ เจอเรื่องราวเครียดๆ แต่ก็ไม่ได้เครียดมากเหมือนที่ทำกับ DAREDEVIL (ซึ่งผลที่ได้คือไม่เวิร์ค) ซึ่งหนังอาจจะไม่ได้เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดเท่าที่ฟ็อกซ์สร้างมาอย่าง X-MEN: FIRST CLASS แต่อย่างน้อยหนังก็ทำได้ดีกว่า X-MEN ORIGINS: WOLVERINE แต่หากนับว่านี่เป็นเรื่องราวการเริ่มต้นหรือไม่ก็รีบู๊ตโดยไร้ทีม X-MEN ก็นับว่าน่าสนใจที่จะได้เห็นเรื่องราวต่อๆ ไปของ โลแกน หรือ วูล์ฟเวอรีน!!


อีกส่วนเลยที่เป็นจุดเด่นของหนังคือบรรดาตัวละครหน้าใหม่ที่หนังใส่เข้ามาในเรื่องนี้ทั้ง มาริโกะ, ยูคิโอะ, ฮาราดะ, ชินเง็น, ไวเปอร์ และ ยาชิดะ พวกนี้เป็นตัวละครที่มีเสน่ห์น่าจดจำเป็นของตัวเองแต่ก็เป็นข้อเสียได้เหมือนเพราะบางทีมันก็เด่นเกินหน้าเกินตากันเองโดยเฉพาะ มาริโกะ และ ยูคิโอะ ที่แม้น้ำหนักส่วนใหญ่ของหนังจะเทไปยังมาริโกะ แต่พอยูคิโอะปรากฏตัวก็แย่งซีนไปหมดอะไรประมาณนี้ หรือ ไวเปอร์ ที่ก็นับว่าเด่นพอสมควร แต่ที่เหนืออื่นใดบรรดาตัวละครในภาคนี้กลับอ้างอิงจากตัวคอมิคส์ชุด WOLVERINE อาจจะมีดัดแปลงอะไรนิดหน่อยเพิ่มนั้นเพิ่มนี่มาหน่อยแต่โดยรวมก็จัดว่าเคารพเรื่องราวในคอมิคส์มากเลยทีเดียว

เจมส์ แมนโกลด์ ทำ THE WOLVERINE ออกมาได้ดีครับสามารถดึงมุมที่เราไม่เคยเจอของวูล์ฟเวอรีนมานำเสนอได้น่าสนใจครับ มีจุดยืนที่ชัดเจนเลือกที่จะเดินหน้าไปอย่างเดียวแต่ก็ไม่ได้ทิ้งรูที่เป็นจุดอ่อนไว้แบบให้เห็นเด่นชัด จุดติน่ะมีแต่มันก็ไม่ได้ใหญ่จนทำให้หนังเสียทั้งเรื่องได้ แมนโกลด์สามารถถ่ายทอดออกมาได้แบบตรงไปตรงมาครับ ส่วนเรื่องการแสดงไม่ต้องพูดอะไรมาก ฮิวจ์ แจ็คแมน เล่นดีเหมือนที่ผ่านมาก นักแสดงทั้งหมดเล่นดีกันหมดแต่ที่เด่นเกินในด้านการแสดงคือสามสาวในหนัง ริล่า ฟูกูชิม่า, ทาโอะ โอกาโมโตะ และ สเว็ตลาน่า คล็อดเชนโคว่า เล่นเด่นมากๆ โดยเฉพาะสองคนหลังเด่นจริงอะไรจริง, เอนด์เครดิตความยาวสองนาทีเด่นจริงอะไรจริง...


ความยาวทั้งหมด 126 นาที
คะแนน 9/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger