วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

IRON MAN 3


IRON MAN 3 / ไอรอนแมน 3


ผู้จัดจำหน่าย : WALT DISNEY STUDIOS MOTION PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : MARVEL STUDIOS
ผู้กำกับ : เชน แบล็ค (KISS KISS BANG BANG)
ประเภทของหนัง : ACTION | ADVENTURE | SCI-FI

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
“ปิดตำนานไตรภาคอย่างสง่างาม ก่อนที่จะเปิดตำนานใหม่อีกครั้ง!”


หากนับหนังที่เป็นหนังที่เป็นไตรภาคมีหนังเพียงไม่กี่เรื่องที่ทำไตรภาคออกมาดีตั้งแต่ภาคแรกและจบภาคสามอย่างสวยงามเพียงไม่กี่เรื่องหากจะนับดูดีๆ คงมีแค่ Indiana Jones Trilogy, Back to the Future Trilogy, The Lord of the Rings Trilogy, Star Wars Original Trilogy และล่าสุดกับ The Dark Knight Trilogy แต่คงจะไม่เกินไปนักหากจะเพิ่มหนังอีกชุดเข้าไปเป็นหนังที่ทำไตรภาคได้สมบูรณ์ที่สุดกับ "IRON MAN TRILOGY", สำหรับ IRON MAN 3 นี้อาจจะไม่ได้ จอน แฟฟโร ผู้กำกับจาก 2 ภาคแรกมานั่งกำกับแต่หนังก็ได้ เชน แบล็ค ผู้กำกับ Kiss Kiss Bang Bang มาทำหน้าที่กำกับแทน พร้อมกับได้นักแสดงคนเดิมอย่าง โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ กลับมารับบท โทนี่ สตาร์ค หรือ ไออ้อนแมน เหมือนเดิม!!

และนี่คือหนังที่เป็นของชายที่มีชื่อว่า "โทนี่ สตาร์ค" มิใช่หนังที่เป็นของ "ไออ้อนแมน" เพราะนี่เป็นหนังที่ โทนี่ สตาร์ค แบบเพียวๆ ไร้ทีมอเวนเจอร์ส ไร้หน่วย ชิลด์ และหากจะนับดีๆ งานนี้ไร้ชุดเกราะสุดรักของโทนี่ด้วย และเป็นหนังที่ทำให้ โทนี่ สตาร์ค อยู่ในภาวะวิกฤติได้ถึงขั้นสูงสุด และเป็นหนังที่ทำให้เรารู้สึกสนุกไปกับหนังได้ตลอดเวลาและมันส์ไปตลอดเรื่อง ซึ่งต้องขอชื่นชมมือเขียนของหนังก่อนครับนั้นก็คือ ดรูว์ เพียรซ์ และ เชน แบล็ค ผู้กำกับของหนังที่ลงมาทำหน้าที่เขียนบทที่สามารถดัดแปลงคอมิคส์ชุด Extremis ให้เข้ามาอยู่ในเนื้อหาของหนังได้อย่างลงตัวครับ เพราะอย่างที่เรารู้กันในหนัง 2 ภาคที่ผ่านมา ไออ้อนแมน ต้องสู้กับ ไออ้อนมองเกอร์ และ วิปแลช ซึ่งเป็นตัวละครที่ใส่ชุดเกราะ


แต่กับการนำตอน Extremis มาใส่ในเนื้อหาทำให้ ไออ้อนแมน ไม่สิ โทนี่ สตาร์ค ต้องต่อสู้กับศัตรูที่ไม่ได้ใส่ชุดเกราะแต่เป็นกองทัพทหารเอ็กซ์ตรีมมิสที่มีพลังเหนือกว่าตัวร้ายใน 2 ภาคที่ผ่านมา เพราะทั้งนี้ทั้งนั้นตัวร้ายในภาคนี้คือ แมนดาริน ตัวร้ายตลอดกาลของไออ้อนแมน และ อัลดริช คิลเลี่ยน นักวิทยาศาสตร์ที่สร้างสารเอ็กซ์ตรีมมิสขึ้นมา ซึ่งความร้ายกาจของตัวร้ายภาคนี้ ทำให้ โทนี่ สตาร์ค ไม่เหลืออะไรไว้กับตัวเลยเป็นตัวร้ายที่มีมิติเชิงลึกและเป็นตัวร้ายที่แสดงให้เห็นว่านี่เป็นตัวร้ายที่ทำให้ โทนี่ จนตรอกได้แบบสุด ซึ่งทำให้ฉากต่างๆ ที่ตัวละครทำ หรือ ฉากแอ็คชั่นท้ายๆ ทำให้เรามีอารมณ์ร่วมได้มากเป็นพิเศษและลงตัวเป็นอย่างมากครับ และตัวหนังก็มีจุดเซอร์ไพรซ์และหักมุมได้อย่างอ้าปากค้าง จนต้องชื่นชมทีมงานเป็นอย่างมากครับ

คืออย่างนี้ครับในเรื่องบทภาพยนตร์ต้องขอยอมรับเลยว่าบทภาพยนตร์ของหนังเป็นหนังที่ดีจริงๆ ครับ สุดยอดในระดับเดียวกันกับ Marvel's The Avengers เลยทีเดียว คือมีความไหลลื่นและไม่เห็นเลยว่าจุดบกพร่องของหนังมันอยู่ตรงไหนจริงๆ เพราะในส่วนเนื้อหาและการดำเนินเรื่องมีความลงตัวสูงเป็นอย่างมาก มีความดราม่าและกับประเด็นที่หนังใส่ลงมาตั้งแต่เนื้อเรื่องย่อเลยที่ว่า “ชุดเกราะสร้างคน หรือ คนสร้างเกราะ” ก็อธิบายได้ง่ายเลยว่า นี่เป็นหนังที่เจาะจงไปยังตัวของ โทนี่ สตาร์ค อย่างแน่นอนซึ่งหนังก็ตีประเด็นนี้ได้อย่างลึกซึ้งมาก ซึ่งประโยคที่เด่นชัดที่สุดคงอยู่ในช่วงท้ายเรื่องที่โทนี่พูดว่า “ผมเป็นใครน่ะเหรอผมคือ โทนี่ สตาร์ค และผมก็เป็น ไออ้อนแมน” คือโทนี่ก็เป็นโทนี่และโทนี่ก็เป็นไออ้อนแมนแต่ไออ้อนแมนก็ยังเป็น โทนี่ สตาร์ค อยู่ดี


ต่อมามาที่ตัวหนังอีกรอบกันบ้างครับ อย่างที่รู้กันว่าตัวหนังของมาร์เวลจะต้องมากับมุกตลกที่ทำให้เรายิ้มได้ ซึ่งใน IRON MAN 3 ก็เป็นอย่างนั้น ตัวมุกตลกของหนังภาคนี้ก็มีจุดที่เป็นสไตล์ที่ไม่เหมือนกับ Marvel's The Avengers คือในส่วนตรงนี้เราไม่สามารถที่จะอธิบายได้จริงๆ เพราะถ้าอธิบายงานนี้ผู้ชมจะไม่มีจุดเซอร์ไพรซ์แน่นอน แต่มุกตลกของเป็นอีกส่วนที่เยี่ยมยอดของหนังจริงๆ ครับ มาที่ส่วนมิติตัวละครในภาคนี้เราจะไม่พูดถึง โทนี่ สตาร์ค เพราะพูดถึงกันไปแล้ว ไม่พูดถึง เป็ปเปอร์ พ็อตต์ และไม่พูดถึงตัว เจมส์ โรดส์ อย่างแน่นอน แต่งานนี้เราจะมาพูดถึงตัว ฮาร์ลี่ย์ ตัวละครสำคัญในภาคนี้, แมนดาริน และ อัลดริช คิลเลี่ยน วายร้ายของภาคนี้แทน

ฮาร์ลี่ย์ เป็นตัวละครเด็กที่ถือว่าเป็นตัวละครที่เป็นจุดพลิกมุมเรื่องที่ในจักรวาล MCU ไม่เคยปรากฏมาก่อนเพราะไม่มีตัวละครที่จะสร้างคุณค่าของตัวละครนำได้เท่านี้มาก่อนครับ เป็นตัวละครพื้นๆ ที่พลิกเรื่องไปอีกมุมได้ ทีมเขียนบทใส่ลงมาได้อย่างเหมาะสมและหนังก็ให้เวลาฮาร์ลี่ย์ได้อย่างเป็นประโยชน์ที่สุดครับ ต่อมามาพูดถึง แมนดาริน ตัวร้ายตลอดกาลของไออ้อนแมน ต้องชื่นชมทีมงานอีกรอบครับที่ใส่ตัวแมนดารินให้ออกมาได้ทรงพลังเป็นอย่างมาก มีภาวะเป็นเหมือนผู้ก่อการร้ายได้อย่างเหลือเชื่อ แต่หนังสร้างจุดที่เปลี่ยนเรื่องราวของตัวแมนดารินได้อย่างสุดแสนเซอร์ไพรซ์ซึ่งบอกไม่ได้ต้องไปดูกันเองครับ


ต่อมาก็มาถึง อัลดริช คิลเลี่ยน นี่เป็นตัวร้ายที่เหนือกว่าตัวร้ายทั้งหมดของ จักรวาล MCU ครับเหนือกว่า โลกิ อีกเพราะนี่เป็นตัวร้ายที่มาแบบร้ายคือร้ายๆ จริงๆ การเปิดตัวมาในแบบที่ตัวร้ายมีจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจน และชัดเจนกว่า ไอทอน แวนโก้ใน Iron Man 2 ซะอีกครับ และนี่เป็นตัวร้ายที่ทำให้เห็นว่านี่เป็นหนังของ โทนี่ สตาร์ค ไม่ใช่ ไออ้อนแมน ครับ และแสดงให้เห็นว่าไม่มีชุดเกราะ สตาร์ค ก็สู้ได้และเราจะรักโทนี่มากขึ้น, ต่อมาเราพูดถึงจุดขายสำคัญของหนังนั้นก็คือฉาก "แอ็คชั่น!" นี่คือหนังที่จัดเต็มฉากแอ็คชั่นได้อย่างสุดๆ ครับ ไม่มีเก็บไว้และไม่มีการกะว่าไว้ใช้ในภาคต่อๆ ไปหนังปล่อยอาวุธและทิ้งไพ่ลงมาหมดมือครับ

โดยเฉพาะช่วงท้ายที่มีชุดเกราะกองทัพ ไออ้อนลีเจี่ยน ออกมานี่คือนัยยะสำคัญที่ว่าสามารถทำให้เรารู้สึกว่าหนังยิ่งใหญ่ทัดเทียม อเวนเจอร์ส และ ขนลุกพอๆ กับตอน กัปตันอเมริกา และทีม อเวนเจอร์ส ยืนเรียงหน้ากันซะอีก และหลังจากนั้นให้เรานึกถึง อเวนเจอร์ส ครับ เพราะนี่คือการจัดหนักจัดเต็มแบบไม่มีเก็บไว้ใส่ทุกอย่างที่มี ชุดเกราะกี่ชุดก็ขนมา และระเบิดทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าให้หมด ถือว่านี่คือฉากแอ็คชั่นสไตล์มาร์เวลที่เหนือกว่าหนังนำเดี่ยวทุกเรื่องที่ผ่านมา หากติดตากับ ฉากสะพานไบฟรอสท์ใน Thor, ระเบิดยานฮาเล็มใน The Incredible Hulk, แอ็คชั่น ณ สตาร์คเอ็กซ์โปใน Iron Man 2 ล่ะก็ ฉากแอ็คชั่นสุดท้ายใน Iron Man 3 จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาธรรมดาไปในทันทีครับ และอีกสิ่งที่โดดเด่นในภาคนี้คือ J.A.R.V.I.S. มีบทบาทเด่นเป็นพิเศษครับ


เพราะเชื่อหรือไม่ทีมงานทำเอฟเฟกต์ทางมาร์เวลขนกันมาเกิน 100 คนคือมาร์เวลทุ่มไปกับด้านนี้แบบสุดๆ ครับ, ด้านทีมนักแสดงและทีมงานคงไม่ต้องพูดถึงกันแล้วหากต้องให้คะแนนทีมนักแสดงและทีมงานในภาคนี้ก็ได้ เกียรตินิยมล่ะครับ งั้นสรุปสั้น "นี่คือหนังของ โทนี่ สตาร์ค ไม่ใช่ ไออ้อนแมน และ Iron Man 3 คือภาพยนตร์ตอนที่ดีสุดของซีรี่ย์ Iron Man!!"   และงานนี้ตัวอย่างหลอกเราเต็มๆ ครับ และหากไม่ว่าอะไรนักขอให้ทุกคนอดทนตอนหนังจบอีก 8 นาทีและเราจะได้เห็นฉากเอนด์เครดิตที่ทำให้เราอมยิ้มได้ และเอนด์เครดิตก็อย่างลุก รออ่านประโยคที่จะทำให้แฟนๆ ชื่นใจกันว่า เรื่องราวนี้จะไม่จบง่ายๆ และอีกอย่างตามธรรมเนียมอย่าลืมตามหา สแตน ลี กันล่ะ เพราะงานนี้ปู่มาน้อยแต่ทำให้แฟนฮาได้ครับ...


ความยาวทั้งหมด 130 นาที
คะแนน 9.5/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger