THE DARK KNIGHT RISES / แบทแมน อัศวินรัตติกาล ผงาด
(24/07/2012) - 350 BATH (IMAX)
ผู้จัดจำหน่าย : WARNER BROS. PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : DC ENTERTAINMENT, LEGENDARY PICTURES, SYNCOPY
ผู้กำกับ : คริสโตเฟอร์ โนแลน (BATMAN BEGINS, THE DARK KNIGHT, INCEPTION)
ประเภทของหนัง : ACTION | CRIME | THRILLER
“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอัธรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”
มุมมอง
“ผงาด”
8 ปีนับจากการตายของอัศวินแห่งก๊อตแธม ฮาร์วี่ เดนท์ และเป็น 8 ปีนับจากการหายตัวไปของแบทแมน ที่ยอมรับความผิดของฮาร์วี่ เดนท์ ไว้คนเดียวเพื่อทำให้ก๊อตแธมยังคงมีวีรบุรุษที่จะเป็นสัญลักษณ์ให้แก่เมือง แต่ระยะเวลา 8 ปีที่หายตัวไปของแบทแมนไม่ได้หายไปแค่ตัวของแบทแมน แต่เป็นการหายตัวไปของ บรูซ เวยน์ ด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ได้มีบุรุษลึกลับใส่หน้ากากนามว่า "เบน" ได้มายังเมืองก๊อตแธม เพื่อจะทำให้ กีอตแธมพินาศกลายเป็นจุล ทำให้อัศวินรัตติกาล จะต้องกลับมาเพื่อช่วยเมืองก๊อตแธมอันเป็นที่รักของเขาอีกครั้ง
ดำเนินมาถึงบทสรุปกันแล้วนะครับสำหรับตำนานอัศวินรัตติกาล นับจาก "Batman Begins" เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2005 มาจนถึง "The Dark Knight" เมื่อเดือนกรกฏาคม ปี 2008 จนมาถึงบทสรุปปิดตำนานอัศวินรัตติกาลแห่งก๊อตแธม ในปีนี้ กับ "The Dark Knight Rises" หรือชื่อไทยว่า "แบทแมน อัศวินรัตติกาล ผงาด" ซึ่งหากนับจากปี 2005 ใช้เวลาถึง 7 ปีถึงจะมาถึงบทสรุปที่ถูกคาดหวังไว้มากที่สุด ซึ่งเหตุผลที่ทำให้ถูกคาดหวังมากมายขนาดนี้ คงจะเป็นเพราะใน The Dark Knight ทำไว้สุดยอดและดีมากนั่นเองครับ รวมไปถึงแอบไปสร้างความสุดยอดไว้ใน "Inception" เมื่อปี 2010 ด้วย ทำให้หลายคนคาดหวังไว้ว่า "The Dark Knight Rises (จากนี้ขอเรียกจย่อๆ ว่า TDKR)" จะต้องทำออกมาให้เหนือกว่า 2 เรื่องข้างต้น ซึ่ง TDKR อาจจะเรียกว่าไม่ได้เหนือกว่า TDK และ Inception ซักเท่าไรนัก แต่ถ้าจะต้องให้คำนิยามแก่ TDKR ต้องเรียกว่า "บทสรุปปิดฉากที่ตราตรึงในความทรงจำ" มากกว่าเพราะเมื่อถึงจุดพีคของหนัง หนังสามารถทำให้บทสรุปเรื่องราวของหนังสามารถแทรกเข้าไปอยู่ในความทรงจำได้ ซึ่งนั่นคงเป็นเพราะประเด็นในหนังภาคนี้ด้วยนั่นเอง
สำหรับในภาคนี้เรื่องราวของ TDKR จะเน้นเรื่องราวกับสิ่งที่เรียกว่า "ศรัทธา" ครับดูได้จากทั้งเรื่องของหนัง ถึงแม้หนังในภาคนี้จะมีการเล่นประเด็นของ Batman Begins นั่นคือความกลัวที่อยู่ในจิตใจของ บรูซ เวยน์ และประเด็นของ TDK อย่างความโกลาหลเมื่อก๊อตแธมกำลังพินาศอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อหนังเอาประเด็นทั้ง 2 มาผูกรวมกันแล้ว หนังจะได้ประเด็นใหม่นั่นก็คือ "ความศรัทธา" ที่อยู่ในตัวของบรูซ เวยน์ ถึงแม้ว่าภายในจิตใจจะยังคงมีความกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้า เบน ก็ตาม แต่เพื่อก๊อตแธมอันเป็นที่รัก "ความศรัทธาในตัวจะเอาชนะความกลัวได้เพื่อปกป้องเมืองก๊อตแธมให้พ้นจากความโกลาหล" ซึ่งฉากที่แสดงให้เห็นถึงคำว่า "ศรัทธา" มากที่สุด ซึ่งน่าจะเป็นฉากที่ บรูซ เวยน์อยู่ในคุกที่ บรูซ เวยน์ ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ออกจากคุกมาได้ ทั้งการเอาชนะความกลัว และความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งเมื่อหนังเจอกับการผูกเรื่องชั้นเซียนจากผู้กำกับอย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลน คำว่า "ศรัทธา" ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
และถึงแม้ว่า TDKR อาจจะไม่ยอดเยี่ยมเหมือนกับ TDK ในด้านมิติของตัวละครซักเท่าไร อย่าง โจ๊คเกอร์ และ ฮาร์วี่ เดนท์ ที่มิติในตัวละครทำออกมาได้อย่างสุดๆ ทั้งความลึกของตัวละคร และการที่จะคาดเดาไม่ได้ว่าตัวละครพวกนี้โดยเฉพาะโจ๊คเกอร์ จะทำอะไรต่อไป แต่ใน TDKR ตัวละครอย่าง เบน กลับปรากฏตัวออกมาได้อย่างทรงพลัง ก่อนที่จะกลืนหายไปกับเนื้อเรื่องในช่วงหลังแทน กลับกลายเป็นว่าตัวละครอย่าง จอห์น เบลค กลับกลายเป็นว่าจะโดดเด่นขึ้นมาเรื่อยๆ หรือจะเป็นตัวละครอย่าง แคทวูแมน หรือ เซลีน่า ไคล์ ที่ดูเหมือนว่าจะโดดเด่นที่สุดในเรื่องแทน และขโมยซีนตลอดเวลา
แต่หากไม่นับเรื่องมิติของตัวละครแล้วสิ่งที่ TDKR มีศักยภาพพอฟัดพอเวียงกับ TDK ก็คือในส่วนของด้านเนื้อเรื่อง โดยเฉพาะลูกล่อลูกชน ฝ่ายดีปะทะฝ่ายร้าย ที่นำเสนอออกมาได้ตื้นเต้น ลุ้นระทึกดีครับ โดยเฉพาะตอนแบทแมนปะทะกับเบน ที่นำเสนอออกมาได้ดุดันและทรงพลังครับ และนำเสนอให้ตีความออกมาได้เยอะเลย อาทิ ความมั่นใจก็เอาชนะได้ทุกอย่าง, อย่าหลงไปกับคำว่าชัยชนะ อะไรประมาณนี้ และอีกอย่างที่เป็นจุดเด่นของหนังคริสโตเฟอร์ โนแลน เลยก็คือ จุดหักมุมในหนังที่ทำออกมาได้ดีครับ อาจจะไม่ได้หักมุมแบบช๊อคเหมือนกับ The Sixth Sense แบบนั้นแต่หนังก็หักมุมพอสมน้ำสมเนื้อครับ (อาจจะเป็นเพราะว่าพอรู้เรื่องราวในคอมมิคกับข่าวลือมาก่อนหรือเปล่าก็เลยไม่ค่อยรู้สึกเท่าไร)
ซึ่งจากที่กล่าวมาก้อาจจะเป็นเพราะบทหนังในช่วงท้ายๆ ของหนังผลักตัวละครให้โดดเด่นขึ้นมาเรื่อย ในกรณีของ จอห์น เบลค และนอกจะผลักดันส่งเสริมตัวละครให้ผงาดขึ้นเรื่อยๆ บทหนังยังส่งเสริมเนื้อเรื่องในช่วงท้ายหลังจากจบเรื่องราวในช่วงหักมุมไปแล้ว หนังสามารถทำออกมาได้ดีมากๆ ครับ ขนลุกับคำพูดของตัวละคร การกระทำของตัวละครที่ยิ่งใหญ่ ถึงแม้ใครจะบอกว่าในช่วงท้ายของหนังจะหาทางออกให้กับบทสรุปง่ายๆ ไปหน่อยก็ตาม แต่ถ้าหากมองเรื่องราวมาตั้งแต่ภาค 1 จนมาถึงกลางเรื่องของหนัง จะพบว่าตัวละครอย่างบรูซ เวยน์ ผ่านอะไรมาเยอะมากครับ เพราะงั้นจะมองว่าหาทางออกง่ายไปไม่ได้ครับ ต้องเรียกว่าทุกอย่างของหนังส่งเสริมให้จบเรื่องราวอย่างนี้ นี่แหละสง่างามที่สุดครับ ซึ่งเมื่อดูจากช่วงท้ายๆ ผมขอยกให้ TDKR เป็นการปิดไตรภาคหนังได้สมบูรณ์แบบแห่งยุคพอๆ กับ The Lord of The Rings หรือ Star Wars Episode IV-V-VI และอาจจะรวมไปถึง Back to the Future ด้วย ซึ่งจะทำให้ใครที่จะมาสร้างตำนานมนุษย์ค้างคาวในรูปแบบใหม่อีกครั้ง ต้องมีเหงื่อตก
สำหรับสิ่งที่ผมคิดว่านอกจากเนื้อเรื่องของหนังที่ทำออกมาได้อย่างสง่างามแล้ว ผมจะขอยกอีก 2 สิ่งที่ทำให้หนังภาคนี้เป็นบทสรุปที่ยิ่งใหญ่ครับ โดยจะไม่ขอพูดถึงตัวผู้กำกับและทีมงานและทีมนักแสดง เพราะในส่วนตรงนั้นไม่มีอะไรต้องไปพูดถึงเลย ทำได้ดีหมดทุกคน เอาล่ะเข้าเรื่องเลย อย่างแรกเลยคือดนตรีสกอร์ประกอบหนังอันทรงพลังของ ฮันส์ ซิมเมอร์ ที่อยู่คู่กับหนังมาตั้งแต่ Batman Begins และ TDK รวมไปถึง Inception ที่ทำออกมาได้ทรงพลังอยู่แล้วใน 3 เรื่องที่บอกไปก่อนแล้ว แต่ใน TDKR ท่านฮันส์ ซิมเมอร์ จัดหนักไม่มีกั๊ก ปล่อยของเท่าที่มีในตัวออกมาหมด ทำออกมาได้ทรงพลังที่สุด แต่ถ้าฮันส์ ซิมเมอร์แต่งออกมาได้ดีแล้ว แต่จะทรงพลังไม่ได้เลย ถ้าหากขาดความสามรถของ คริสโตเฟอร์ โนแลน และอาจรวมไปถึง โจนาธาน โนแลน น้องชายของคริสด้วย ที่ฉลาดมากๆ ในการเลือกเอาเพลงเท่าที่มี มาใส่ในหนังได้ถูกจังหวะและลงตัวส่งเสริมฉากนั้นให้ยิ่งใหญ่มากครับ และต้องมาดูกันครับ ฮันส์ ซิมเมอร์ จะทำสกอร์หนังประกอบ Man of Steel ออกมาได้ดีเหมือน TDKR หรือไม่?
อย่างที่สอง หากคิดว่าเพลงสกอร์ของหนังยิ่งใหญ่มากๆ แล้วอีกสิ่งที่ทำให้สกอร์ดูยิ่งใหญ่แบบคูณ 2 คงจะต้องเป็นฉาก IMAX ของ TDKR ที่ทำออกมาได้อย่างสุดยอดครับ หนังใช้ฉาก IMAX ออกมาได้อย่างคุ้มค่ามากๆ ครับ ยิ่งเมื่อฉาก IMAX มาเจอกับ เรื่องราวที่ดูใหญ่มากๆ ที่ก๊อตแธมจะพินาศ หนังถ่ายทอดฉากความพินาศออกมาได้อย่างเหลือเชื่อครับ อาทิ ฉากระเบิดสนามอเมริกันฟุตบอลของทีมก๊อตแธมโร้ก ที่เหมือนเราอยู่ในสนามกันเลยทีเดียว หรือในฉากแอ๊คชั่นหนังก็ใช้ประสิทธิภาพของ IMAX ออกมาได้คุ้มค่าครับ อย่างเช่น ฉากไล่ล่าเบนของแบทแมนในช่วงเกือบกลางเรื่องที่ทำออกมาได้แบบเกินคำบรรยายครับ แต่สำหรับฉากที่เกินบรรยายจริงๆ ต้องเป็นฉากในช่วงท้ายเรื่อง ตั้งแต่แบทแมน มาประจัญหน้ากับเบน ไล่ไปเรื่อยจนถึงฉากจบ เกินคำบรรยายจริงๆ ครับสำหรับ แบทแมน อัศวินรัตติกาล ผงาด แนะนำเลย IMAX ไม่ควรพลาด
สรุป
“ปิดตำนานอัศวินรัตติกาลลงอย่างสมบูรณ์แบบ สำหรับฝีมือของ คริสโตเฟอร์ โนแลน และจะทิ้งเรื่องราวของหนังให้เป็นตำนานตลอดไปครับ และการใช้ส่วนประกอบของหนังออกมาได้อย่างมหัศจรรย์ทั้งสกอร์ประกอบหนัง และฉาก IMAX จะต้องเรียกว่าเป็นการยกระดับการปิดตำนานให้ดียิ่งขึ้นครับ”
ความยาวทั้งหมด 164 นาที
คะแนน 10/10
✩✩✩✩✩
------------------------------------------------------------------
ใครที่ชอบอัพเดทข่าวสารวงการหนังขออนุญาติฝากแฟนเพจ KURENAI MOVIE ไว้ด้วยนะครับ มาอัพเดทข่าวสาร หรือ พูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ แบบมีสาระบ้างไม่มีสาระบ้าง อัพเดทแบบไม่ให้ตกข่าวกันเลยครับ อย่าลืมมากด Like กันนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น