THE BOURNE LEGACY / พลิกแผนล่ายอดจารชน
(15/08/2012) - 99 BATH
ผู้จัดจำหน่าย : UNIVERSAL PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : THE KENNEDY/MARSHALL COMPANY
ผู้กำกับ : โทนี่ กิลรอย (MICHAEL CLAYTON)
ประเภทของหนัง : ACTION | ADVENTURE | THRILLER
“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอัธรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”
มุมมอง
“เนื้อหาหนังดี แต่การดำเนินเรื่องมันดูไม่เวิร์ค, แต่ฉากแอ๊คชั่นช่วงท้ายมัน "เอาอยู่" จริงๆ”
เรื่องราวของยอดจารชนแห่งโครงการเทรดสโตนนามว่า "เจสัน บอร์น" จบไปแล้วในไตรภาค The Bourne Identity, The Bourne Supremacy, The Bourne Ultimatum คราวนี้เราจะมารู้จักยอดจารชนคนใหม่นามว่า "อารอน ครอส" แห่งโครงการเอาท์คัม!! ในเรื่องราวบทใหม่ของยอดจารชนคนใหม่ The Bourne Legacy เรื่องราวของหนังคือหลังการเปิดโปงโครงการเทรดสโตนและแบล็คไปอาร์ของเจสัน บอร์นในตอนจบของ Ultimatum ทำให้โครงการต่างๆ ที่อยู่ในเครือต้องถูกปิดโครงการและจัดการสายลับที่อยู่ในโครงการทั้งหมด ซึ่งหนึ่งในโครงการที่ว่าก็คือ โครงการเอาท์คัม ที่มีสายลับอยู่ในโครงการทั้งหมด 9 คนที่ถูกไล่กำจัดไปเกือบหมด จะเหลือแต่เพียง หมายเลข 5 อารอน ครอส ที่รอดมาได้แต่ด้วยการที่ยอดสายลับในโครงการจะต้องพึ่งยาในการรักษาสภาพร่างกายให้เป็นปกติ อารอน จึงต้องตามหายาที่จะให้เขามีชีวิตต่อไปได้ แต่ด้วยการที่อารอนไปช่วยเหลือ ดร. เชียริ่ง คนที่ทำหน้าที่ดูแลเขาทำให้เขาได้รู้ว่ามีวิธีรักษาโดยไม่ต้องพึ่งยา คราวนี้อารอนต้องตามล่ายาและหนีการตามล่าของรัฐบาล ด้วยการหนีบ ดร. เชียริ่ง ไปด้วย
เนื้อหาหลักของหนังจึงอยู่ในเรื่องของการตามล่าหายาเม็ดสีฟ้าที่ช่วยให้อารอน ครอส ยังคงมีความเก่งเหมือนเดิม และในหนังยังมาด้วยบทสนทนาอันสุดแสนจะเยอะมาก การสนทนาครั้งนึงก็ยาวและรวดเร็วมากๆ ซึ่งตรงนี้หนังอาจจะทำมาไม่เวิร์คเท่าไรนัก เพราะบางทีการสนทนาของตัวละครบางครั้งก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรต่อหนังเลย และในเมื่อภาคนี้เป็นการเล่าโครงการต่างๆ ที่ถูกผลกระทบมาจากการเปิดโปงโครงการเทรดสโตน และ แบล็คไบอาร์ ในตอนจบของ The Bourne Ultimatum หนังภาคนี้จึงยังต้องมาเล่นปูความเป็นมาของโครงการเอาท์คัม ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ซึ่งตามความเป็นจริงหนังไม่ต้องแนะนำความเป็นมาเยอะมากถึงเพียงนี้ก็ได้ เพราะเชื่อว่าคนที่มาดูหนังเรื่องนี้ก็คงตรงดูหนัง 3 ภาคก่อนหน้ามาอยู่แล้ว ไม่น่าที่จะแนะนำอะไรกันมากมายถึงเพียงนี้ เพราะการแนะนำโครงการเอาท์คัม กินเวลาของหนังไปเกือบ 1 ใน 3 ของเรื่อง ซึ่งตรงนี้ไม่ได้ช่วยอะไรหนังเลยจริงๆ
แต่สำหรับในหนัง Bourne 3 ภาคก่อนหน้าหนังจะเน้นการตามล่าหาตัวตนของเดวิด เว๊บบ์ว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน ทำไมพูดได้หลายภาษา ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าความจำเสื่อม เดวิด เว๊บบ์หรือที่จะรู้จักกันในชื่อ เจสัน บอร์น จะมาในสถานะทั้งไล่ล่าและถูกล่าที่หนังสามารถทำให้คนดูรู้สึกเอาใจช่วยตัวละครบอร์นอยู่ตลอดเวลา แต่สำหรับตัวละครของ อารอน ครอส ไม่ได้ความจำเสื่อม และนอกจากนี้ยังรู้ที่มาของตัวเอง รู้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่จุดประสงค์หลักของตัวอารอน ก็คือการตามล่าหายาที่จะให้ตัวเองมีชีวิตต่อไป ดังนั้นการที่หนังภาคนี้จะไม่ทำให้เรารู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับหนัง เพราะว่าตัวละครของ อารอน ครอส กลับไม่มีอะไรดึงดูดซักเท่าไร
และนอกจากและสำหรับเรื่องราวในการตามล่าตัวนักล่าในโครงการหนังทำออกได้ดูช้าๆ ไม่ได้ดูรวดเร็วมากเท่าไร มีแอ็คชั่นเข้ามาในหนังเบาบางและเล็กน้อยพอสมควร และนานพอสมควรกว่าจะมีฉากแอ็คชั่นเข้ามาซักชุด แต่!! สำหรับฉากไคลแม็กซ์ในช่วงท้าย ใครที่บอกว่าแอ็คชั่นภาคนี้มาน้อยละก็ ฉากช่วงท้ายใน มานิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เรียกได้ว่าเอาคนดูได้อยู่หมัดจริงๆ เป็นฉากแอ๊คชั่นที่มารวดเดียวจบ และสมการรอคอยที่รอการได้ดูฉากแอ็คชั่นที่กว่าจะได้ดูมันนานซะเหลือเกิน แต่ฉากไคลแม็กซ์มันเกินบรรยายจริงๆ ครับ มันเป็นฉากๆ เดียวที่ทำให้เราเอาใจช่วยตัวละครของอารอน ครอสได้
ซึ่งฉากแอ็คชั่นในหนังหากใครสังเกตดีๆ ฉากแอ็คชั่นของหนังทุกฉากและการใช้อาวุธทุกอย่างของหนังจะทำออกมาเพื่อรองรับการถนัดซ้ายของ เจเรมี่ เรนเนอร์ ดังนั้นฉากแอ็คชั่นจึงดูแปลกใหม่สำหรับคนดูอยู่หน่อย เพราะส่วนมากเราจะเห็นการจับปืนแบบมือขวา หรือการต่อยที่เน้นหมัดขวาเป็นหลัก ดังนั้นพอเรามาเห็นการต่อยคนแบบถนัดซ้าย หรือการยิงปืนถนัดซ้าย ก็เพิ่มความแปลกใหม่ให้แก่คนดู ยิ่งการไล่ล่าในฉากท้ายของหนัง สังเกตดีเป็นฉากแอ็คชั่นที่มาในรูปแบบถนัดซ้ายของเจเรมี่ เรนเนอร์ ที่มาเต็มแบบชุดใหญ่
การแสดงของเจเรมี่ เรนเนอร์ ที่มารับบทเป็นอารอน ครอส อาจจะไม่ได้ดูโดดเด่นมากมายเหมือนกับบทเจสัน บอร์นที่ แม็ตต์ เดมอน เคยทำไว้ นั่นก็เพราะตัวสายลับอารอน ครอส ไม่ได้มีมิติซักเท่าไร ไม่เหมือนกับบทที่เจเรมี่ เรนเนอร์แสดงไว้ใน Mission: Impossible - Ghost Protocol หรือบท Hawkeye ใน Marvel's The Avengers ที่อาจจะไม่ได้รับบทนำแต่ตัวละครที่เล่นมันดูมีมิติเจเรมี่ ก็เลยดูโดดเด่น ผิดกับใน Legacy ที่ได้บทนำแต่ไม่ดูโดดเด่นเท่าที่ควร สรุป เจเรมี่ เรนเนอร์ เล่นดีตามมาตรฐานแต่บทของตัวละครไม่ส่งให้โดดเด่นเท่าที่ควรเมื่ออยู่บนจอคนเดียว ผิดกลับราเชล ไวซ์ ที่รับบทเป็น ดร. เชียริ่ง ที่มาในมาดแพทย์สาวจิตตกที่เธอเล่นได้ดูและบทนั้นส่งให้เธอดูโดดเด่นมากขึ้นเมื่ออยู่บนจอ แต่เมื่อเธอต้องอยู่บนจอคู่กับเจเรมี่ เรนเนอร์ทั้งเขาและเธอ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าทั้งคู่ดันมีเคมีที่เข้ากันมากๆ ดังนั้นแล้วในภาคต่อไปหนังควรจะต้องให้ทั้งคู่อยู่บนจอร่วมกันตลอด - -''
โทนี่ กิลรอย อดีตคนเขียนบทบอร์น 3 ภาคก่อนหน้าและแน่นอนว่าเขียนบทภาค Legacy ด้วย ที่ขยับขึ้นแท่นมาเป็นคนกำกับหนัง สามารถกำกับหนังออกมาได้ดีมากในฉากแอ็คชั่น!!!!! แต่กับการดำเนินเรื่อง กิลรอยยังทำออกมาได้สะเปะสะปะ ยังหาจุดยืนของหนังไม่ได้ บทสนทนาที่เยอะเกินไป ทั้งๆ ที่บทสนทนาบางบทมันควรที่จะอยู่ในห้องตัดต่อไม่ควรที่จะมาปรากฏบนจอ ถือว่า The Bourne Legacy ยังเป็นแค่บททดสอบแรก และหวังว่าภาคหน้า The Bourne Betrayal กิลรอยจะทำหนังให้ออกมาดูมีเรื่องราวที่จะเล่นเป็นจุดหลักของหนังได้ ไม่ต้องมาดูเรื่องราวที่ดูลอยๆ และยังหวังว่าจะยังคงมีฉากแอ็คชั่นที่ยังเอาอยู่แก่คนดูเหมือนเดิม
สรุป
“The Bourne Legacy ถ้าเปรียบเทียบกับ 3 ภาคก่อนหน้าอาจจะเทียบไม่ได้ทั้งเรื่องบท และ ตัวละคร แต่ก็ถือว่าเป็นการกำเนิดเรื่องราวสายลับคนใหม่ที่ทำออกมาได้ใช้ได้แม้อาจจะยังไม่ได้ดูดีซักเท่าไร แต่ก็ถือว่าเป็นการสร้างแฟรนไชส์ใหม่ ตัวละครใหม่ๆ เรื่องราวใหม่ๆ เหลือก็แค่หาจุดที่หนังควรจะเป็นให้ได้ก็เท่านั้น”
ความยาวทั้งหมด 135 นาที
คะแนน 8/10
------------------------------------------------------------------
ใครที่ชอบอัพเดทข่าวสารวงการหนังขออนุญาติฝากแฟนเพจ KURENAI MOVIE ไว้ด้วยนะครับ มาอัพเดทข่าวสาร หรือ พูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ แบบมีสาระบ้างไม่มีสาระบ้าง อัพเดทแบบไม่ให้ตกข่าวกันเลยครับ อย่าลืมมากด Like กันนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น