วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

THE IMPOSSIBLE


THE IMPOSSIBLE / 2004 สึนามิ ภูเก็ต


ผู้จัดจำหน่าย : SUMMIT ENTERTAINMENT, WARNER BROS. PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : APACHES ENTERTAINMENT, TELECINCO CINEMA
ผู้กำกับ : ฆวน อันโตนิโอ บาโยน่า (EL ORFANATO)
ประเภทของหนัง : DRAMA | THRILLER

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
“พลังใจยิ่งใหญ่กว่าภัยพิบัติ, หนังหายนะเรื่องจริงที่คนไทยไม่มีวันลืม”


26 ธันวาคม 2004 เป็นวัยที่คนไทยทุกคนจดจำไม่มีวันลืมเลือนไปได้เมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติไม่คาดฝันเมื่อมีคลื่นยักษ์สึนามิซัดเข้าชายฝั่งประเทศไทยเกิดความศูนย์เสียไปอย่างมากมายเปลี่ยนชีวิตคนหลายคน หลายครอบครัว หลายชีวิต, วันเวลาผ่านไป 8 ปีก็มีหนังของประเทศสเปนเรื่องหนึ่งที่มีชื่อว่า "Lo Imposible" ที่เอาเรื่องราวภัยพิบัตินี้เอามาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของครอบครัวที่ประสบชะตากรรมเมื่อปี 2004 แล้วมีชีวิตรอดทั้งครอบครัว ซึ่งการรอดชีวิตได้ของครอบครัวที่ประกอบไปด้วย พ่อ, แม่, ลูกชาย 3 คน เรียกได้ว่าเป็น "ปาฏิหาริย์" ซึ่งในความหมายของคำนั้นก็เหมาะสมแล้วที่หนังมีชื่อทางการว่า "The Impossible" นี่คือเรื่องราวจากเรื่องจริงยิ่งกว่าปาฏิหาริย์!!..

น้ำตาคลอเบ้า อินกับเนื้อเรื่อง, แม้ว่าจะเราจะไม่ได้เป็นคนที่ประสบพบเจอกับเหตุการณ์สึนามีเมื่อปี 2004 โดยตรงและโดยทางอ้อมแต่ในเมื่อเราในปี 2004 นั้นก็โตพอจะรับรู้เรื่องราวต่างๆ รับรู้ถึงความสูญเสียได้ ซึ่งในตลอดการดู The Impossible คงไม่เกินไปนะครับว่าหากจะบอกว่าเราอินไปกับตัวหนังได้ตลอดเรื่อง เอาใจช่วยครอบครัวนี้ตลอดเรื่อง (แม้ในความจริงจะรับรู้ว่าครอบครัวนี้สามารถเอาชีวิตรอดได้ทั้งครอบครัวก็ตาม) แต่ด้วยเรื่องราวของหนังการนำเสนอนั้นทำให้คนดูมีความรู้สึกร่วมไปตลอดเรื่องได้ แม้ในบางช่วงของหนังอาจจะดูเกินๆ ความเป็นจริงไปบ้าง หรือยิ่งในช่วงท้ายเรื่องใกล้ๆ จบยิ่งทำให้เราเข้าใจคำว่า Impossible มากขึ้นไปอีกนั้นพูดได้ว่าเป็นขอเสียของหนังแม้ดูจริงๆ แล้วเป็นเพียงข้อเสียเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับหนังทั้งเรื่องก็ตามที


กลับมาที่เรื่องราวของหนังด้วยการแสดงและโลเคชั่นที่หนังเข้าไปถ่ายทำกันถึงที่เกิดเหตุการณ์จริงและแปลงสภาพสถานที่ให้กลับไปเหมือนตอนเกิดเหตุการณ์สึนามิอีกครั้งยิ่งทำให้คนดูเกิดความรู้สึกร่วมมากขึ้นเหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ ซึ่งหนังก็ทำสมจริงมากครับตั้งแต่ตอนที่คลื่นสึนามิเข้าชายฝั่งแต่นั้นเป็นส่วนประกอบที่ทำให้เกิดเรื่องราวที่จะตามมาหลังจากนั้น ซึ่งแน่นอนว่าครอบครัวตัวเอกของเรื่องนั้นโดนสึนามิเข้าไป ที่หนังสามารถถ่ายทอดเรื่องราวความลำบากของตัวละครออกมาได้เป็นอย่างนี้ โดยเฉพาะตัวละครมาเรีย (นาโอมิ วัตต์) ที่หนังถ่ายทอดความเจ็บปวดความลำบาก และหนังสามารถถ่ายทอดอารมณ์ทั้งหมดของหนังออกมาได้จนน้ำตาร่วง

แต่โดยเรื่องราวแล้วตัวละครที่หนังเน้นมากที่สุดก็คือตัวลูคัส (ทอม ฮอลแลนด์) ลูกชายคนโตของครอบครัวที่ต้องพบโชคชะตาความลำบากเกินเด็ก ยิ่งหนังเน้นไปจับอารมณ์ตรงใบหน้าของตัวลูคัสยิ่งทำให้รู้สึกถึงความยากลำบากของลูคัสที่ต้องเจออะไรเกินเด็ก ซึ่งในตัวหนังเองก็ไม่มีสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า "ตัวร้าย" ที่เป็นมนุษย์ไม่มีให้ลุ้นในตอนจบแต่จริงๆ "ตัวร้าย" ในหนังเรื่องนี้คือสึนามิและความลำบากของสถานการณ์ในหนังซึ่งจะบีบลุ้นขนาดไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลเอง ซึ่งฉากต่างๆ ในหนังก็ทำออกมาได้สมจริงอย่างเช่นฉากที่โรงพยาบาลตะกั๋วป่าที่แปลงโรงพยาบาลในปัจจุบันให้กลับไปเป็นเหมือนเมื่อปี 2004 อีกครั้งซึ่งฉากต่างๆ ในหนังทำออกมาดูหดหู่จริงๆ ครับ


ซึ่งฉากที่โรงพยาบาลเองก็สามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้สมจริง เหมือนอยู่ในเหตุการณ์และรู้สึกถึงความเศร้าสลดได้ในตัวฉากเอง นี่ยังไม่นับฉากอื่นๆ เช่นฉากหมู่บ้านหรือโรงแรมที่โดนสึนามิเข้าไป, ซึ่ง The Impossible ในเมื่อหนังถ่ายทอดเรื่องราวอยู่ในประเทศไทยงานนี้หนังก็เลยถ่ายทอดเรื่องราวความมีน้ำใจของคนไทยออกมาได้ดีและที่สำคัญเรื่องราวของคนไทยที่หนังถ่ายทอดนั้นเป็นเรื่องจริงหากคนที่รับรู้เหตุการณ์เมื่อปี 2004 คงจะรับรู้ได้

ซึ่งอีกสิ่งที่หนังทำได้ดีจริงๆ นอกจากสถานที่หรืออารมณ์ร่วมที่ทำให้คนดูมีต่อหนังคงไม่พ้นการแสดงของนักแสดงนำหลักๆ ทั้งสามอย่าง ยวน แม็คเกรเกอร์, นาโอมิ วัตต์, ทอม ฮอลแลนด์ที่การแสดงของทั้งสามคนเล่นได้ถึงและถ่ายทอดอารมณ์คนเจอเหตุการณ์จริงๆ ได้ดีมาก อย่าง นาโอมิ วัตต์ ก็เล่นจนถึงกับทึ่ง, ยวน แม็คเกรเกอร์ ก็เล่นได้ดีในบทสามีที่รักครอบครัวและออกตามหาภรรยาและลูกได้ดีจนเชื่อ อย่างฉากโทรศัพท์หาญาติที่ต่างประเทศ ยวนก็เล่นจนทำให้น้ำตาคลอได้ไม่ยาก แต่การแสดงที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ต้องขอยกให้กับไอ้หนูทอม ฮอลแลนด์ ที่เล่นได้สุดยอดเกินเด็กเป็นอย่างมาก ทั้งการแสดงอารมณ์ สีหน้าหรือท่าทาง งานนี้อนาคตไกลแน่นอนไอ้หนู



ซึ่งหากการแสดงหรือการถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ดีคนที่อยู่เบื้องหลังอย่างผู้กำกับ ฆวน อันโตนิโอ บาโยน่า ที่กำกับออกมาได้ทั้งการเดินเรื่องการถ่ายทอดเรื่องราวแต่ที่ทำได้ดีมากสุดๆ ก็คือ การใช้มุมกล้องของหนังที่บาโยน่ามักเน้นการใช้ภาพมุมสูงเป็นหลักเพราะถ่ายทอดฉากหรือสถานที่ต่างๆ ที่โดนสึนามิซัดเข้าไปว่าเป็นอย่างไร ซึ่งถือว่าบาโยน่าทำออกมาได้ดีมากๆ และถ่ายทอดฉากหายนะออกมาได้ดีเป็นอย่างมาก

อีกสิ่งที่ทีมงานทำออกมาได้ดีเหมือนกันก็คือเพลงสกอร์ประกอบหนังที่หนังเลือกใช้บริการของ เฟร์นานโด เวลาเควซ ที่ส่วนมากจะทำงานในสเปนแต่ก็เคยมาทำหนังฮอลลีวูดอย่าง Devil มาแล้ว ซึ่ง เวลาเควซ ทำดนตรีสกอร์ประกอบออกมาได้ทั้งเศร้าและก็ทรงพลัง ยิ่งเพลงบางเพลงมีหลายอารมณ์ในเพลงเดียว อย่างเพลงประกอบเกือบสุดท้ายของหนัง (He Looked So Happy) ที่ใช้ประกอบฉากที่ครอบครัวขึ้นเครื่องบินที่ทำออกมาได้ดีแบบว่าฟังเพลงเดียวแล้วรู้เลยว่าที่ผ่านมาของหนังตัวละครต้องประสบชาตะกรรมอะไรมาบ้าง, งานนี้สงสัยได้เห็น The Impossible ไปฟัดกับ ฮันส์ ซิมเมอร์ และ จอห์น วิลเลี่ยมส์ ในสาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยมในหลายเวที่แน่นอน

สรุป
“หนังเล่นกับอารมณ์คนดูได้เป็นอย่างดี หลายๆ ฉากน้ำตาคลอและบางฉากก็ร้องกันเลยทีเดียว เพลงประกอบทรงพลัง นักแสดงเล่นได้เยี่ยม, แต่ในส่วนใหญ่หนังสามารถเอาคนดูอยู่แม้ในช่วงท้ายจะดูเกินๆ ไปบ้างนิดๆ ก็ตามแต่โดยรวม The Impossible เป็นหนังที่ห้ามพลาดครับ”


ความยาวทั้งหมด 114 นาที
คะแนน 9/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger