THOR: THE DARK WORLD / ธอร์ เทพเจ้าสายฟ้าโลกาทมิฬ
ผู้จัดจำหน่าย : WALT DISNEY STUDIOS MOTION PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : MARVEL STUDIOS
ผู้กำกับ : อลัน เทยเลอร์ (GAME OF THRONES)
ประเภทของหนัง : ACTION | ADVENTURE | SCI-FI
“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”
มุมมอง
“สานต่อตำนานเทพเจ้าสายฟ้า ที่จริงจังมากขึ้นแต่ยังสนุกเหมือนเดิม”
จาก THOR ในปี 2011 สู่ MARVEL'S THE AVENGERS ในปี 2012 และมาในปีนี้กับ THOR: THE DARK WORLD ภาคต่อของ ธอร์ เทพเจ้าสายฟ้าหนึ่งในทีมอเวนเจอร์สผู้ทรงพลัง ที่ในภาคนี้ได้ อลัน เทยเลอร์ (หนึ่งในผู้กำกับซีรี่ย์ GAME OF THRONES) มาเป็นผู้กำกับหนังแทนที่ เคนเนธ บราน่าห์ ที่ติดภารกิจ แต่หนังก็ยังได้ คริส เฮมส์เวิร์ธ มารับบท ธอร์ เหมือนเดิม พร้อมกันนี้ยังมีทีมนักแสดงจากภาคแรกกลับมากันเกือบครบ โดยเฉพาะ ทอม ฮิดเดิลสตัน ในบท โลกิ ขวัญใจแม่ยกทั้งหลาย กับ นาตาลี พอร์ทแมน ในบท เจน ฟอสเตอร์ พร้อมยังได้ คริสโตเฟอร์ เอคเคิลสตัน มารับบทวายร้ายประจำตอนอย่าง มาเลคิธ ผู้นำแห่ง ดาร์ค เอลฟ์!!
หนังดำเนินเนื้อหาต่อหลังจบสงครามนิวยอร์คประมาณหนึ่งปี โลกิ ถูกจับติดคุก แต่เมื่อเกิดเหตุเหล่าดาร์ค เอลฟ์ ตื่นจากการหลับไหลทำให้ ธอร์ ต้องมาขอร้องโลกิ ทำให้เนื้อหาในภาคนี้คือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง ธอร์ กับ โลกิ พี่น้องที่โชคชะตาเล่นตลก หนังทำได้น่าสนใจกับการตามติดความสัมพันธ์ของทั้งคู่มากขึ้นกว่าเดิม อลัน เทย์เลอร์ ผู้กำกับเข้ามาสานต่อและเติมเต็มส่วนตรงนี้ได้ดีต่อจาก เคนเนธ บราน่าห์ และ จอสส์ วีดอน ทำไว้ได้อย่างน่าสนใจ เทย์เลอร์ เข้ามาเติมความจริงจังและความเข้มข้นให้กับตัวเนื้อหามากขึ้น เพิ่มเติมความสมจริงให้มากขึ้น กับความสัมพันธ์ของตัวละครทั้ง ธอร์ กับ โลกิ หรือ ธอร์ กับ เจน ฟอสเตอร์ ที่จะได้เห็นความเป็นไปกับตัวหนังในภาคนี้
หนังของมาร์เวลก็ยังคงเป็นมาร์เวล (พร้อมเครดิตโลโก้ใหม่ก่อนเข้าหนัง) ถึงแม้การมาของ อลัน เทย์เลอร์ จะช่วยยกระดับให้กับหนังมากขึ้น มีความจริงจังมากขึ้นกว่าภาคแรก แต่ยังไงก็ตามมันก็เป็นหนังของมาร์เวลอยู่วันยังค่ำ!! การดำเนินสไตล์มาร์เวลที่อุดมไปด้วย ฉากแอ็คชั่น มุกตลก และการดำเนินเรื่องที่สนุก การได้ อลัน เทยเลอร์ เข้ามาก็เป็นส่วนดีของหนังที่เอาความจริงจังและสมจริงมาเพิ่มเติมและผสมความเฮฮาสไตล์มาร์เวลน่าสนใจมากขึ้น เทย์เลอร์ เข้ามาพร้อมความสดใหม่ และกับการดำเนินเรื่อง ก็ทำให้หนังไม่มีส่วนที่น่าเบื่อ และรักษาระดับของความจริงจังและความเฮฮาได้อย่างลงตัว จนการเป็นความบันเทิงสมบูรณ์แบบ!
เทย์เลอร์ ดัดแปลงบทหนังของ คริสโตเฟอร์ ยอสต์ (เขียนบทหนังอนิเมชั่นของมาร์เวล), คริสโตเฟอร์ มาร์คัส และ สตีเฟ่น แม็คฟีลี่ (ทั้งคู่เขียนบท CAPTAIN AMERICA: THE FIRST AVENGER กับ THE WINTER SOLDIER และก็นาร์เนียทุกภาค) ได้ดีครับแต่ถ้าเทียบกับ THOR ภาคแรกในความรู้สึกกลับชอบบทของ แอชลี่ย์ มิลเลอร์, แซ็ค สเตนทซ์, ดอน เพยน์ มากกว่าคือมันมีความลงตัวในทุกๆ ด้าน แต่ก็ไม่ได้บอกว่าบทของโลกาทมิฬไม่ดีหรือแย่แค่บางช่วงของหนังมันดูตกๆ ไปหน่อยน่าจะทำได้ดีกว่านี้และลงตัวกว่านี้ ไอ้เรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครน่ะดีไม่มีข้อโต้แย้ง แต่บางช่วงมันจะดูดร็อปๆ ลงไป อาทิ ฉากแอ็คชั่นที่หาทางออกบางทีก็ง่ายไปหน่อย หรือบางช่วงก็เดาทางได้ง่ายไปหน่อยนิดหน่อย
ข้อดีในบทที่รู้สึกว่าทำได้ดีกว่าภาคแรกก็คือการพาไปสำรวจโลกทั้งเก้าได้เยอะกว่าในภาคแรกและในภาคนี้ก็หักมุมได้เป็นช่วงๆ แบบสุดยอดมากอะไรประมาณนี้, ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องบทแล้วในส่วนของตัวร้าย มาเลคิธ ผู้ถูกสาปผู้นำดาร์ค เอลฟ์ แห่ง สวาร์ธัมไฮม์ เป็นตัวร้ายที่บทบาทไม่เยอะมากเท่าที่ควร ถือเป็นจุดที่น่าเสียดายไปหน่อยก็ตาม ถ้าไปเทียบกับความเด่นของตัวร้ายในจักรวาลมาร์เวล บางทีโลกิหรือแม้แต่ ดาร์ซี่ (สาวแว่นเพื่อนเจน) อาจจะดูเด่นกว่ามาเลคิธไปด้วยซ้ำในหนังตอนนี้ แต่ถึงกระนั้นการปรากฏตัวอันน้อยนิดของมาเลคิธก็เป็นจุดหักเหสำคัญต่อบทสรุปของหนัง และถ้าไม่เว่อร์เกินไปคือมันเป็นจุดสำคัญต่อภาคสามถ้าดูในตอนจบของหนัง
การดำเนินเรื่องเป็นจุดสำคัญของหนังอย่างที่บอกไป เทย์เลอร์ เข้ามาเติมความจริงจังให้กับตัวหนังแต่ก็ยังรักษาสไตล์ของมาร์เวลไว้ แต่จุดที่ เทย์เลอร์ ทำได้เวิร์คมากก็คือการใส่จุดต่างๆ ที่แฟนมาร์เวล เฮลั่นออกมาได้ การปรากฏตัวของหนึ่งในทีมอเวนเจอร์ส มุกตลกต่างที่เป็นเอกลักษณ์ที่ใส่มาได้มาเป็นฉากแอ็คชั่นใหญ่โตมโหฬาร (ลองนึกถึงตอนเทพกระจอก โลกิโดนฮัลค์ฝาดใน MARVEL'S THE AVENGERS ดู) ใช่เทย์เลอร์ทำสิ่งที่เป็นมรดกของมาร์เวลได้ดีครับ แต่บางทีถ้าตัดมุกออกไปบ้างเพิ่มความจริงจังให้มากกว่านี้ในบางช่วงสำคัญบางจุดของหนัง หนังอาจจะก้าวขึ้นไปเทียบกับ IRON MAN 3 ได้อย่างไม่เขอะเขิน แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่เทย์เลอร์ทำลงไปไม่ได้แย่เลยครับ
ด้านฉากโปรดัคชั่นอะไรต่างๆ นั้นขอบอกว่าทำได้อลังการงานสร้างแบบโอเวอร์มากกว่าภาคแรกอยู่มากโขในภาคนี้เทย์เลอร์พาเราไปสำรวจส่วนลึกของแอสการ์ดมากขึ้นได้เห็นความใหญ่โตของแอสการ์ดมากขึ้น และ! เทย์เลอร์ เข้ามาเปลี่ยนแอสการ์ดให้เหมือนผ่านสมรภูมิสงครามมามากต่างจากความสดใสใน THOR ของ เคนเนธ บราน่าห์ ไม่ว่าจะเป็นแอสการ์ดหรือชุดของตัวละครที่เปลี่ยนไปเหมือนเป็นชุดเกราะทำสงครามจริงทั้ง โอดิน, ธอร์, แฟนดรัล จะเห็นความแตกต่างจากภาคแรกที่นอกจากทำให้ดูจริงจังมากขึ้นแล้วยังช่วยต่อยอดในการขายของเล่นได้อีกต่อด้วย
งานด้านภาพถือเป็นส่วนสำคัญของหนังหนังทำเอฟเฟกต์ต่างๆ ได้ดีทำได้อลังการและดูยิ่งใหญ่สมจริงนอกเหนือจากแอสการ์ดแล้วสวาร์ธัมไฮม์ก็ดูเหมือนเป็นโลกมืดจริงๆ การเก็บรายละเอียดนั้นถือว่าทำได้ดี ซึ่งในภาคแรกสะพานไบฟรอสท์เป็นที่จดจำ แต่ในภาคนี้ฉากที่ต้องจดจำคืองานศพของตัวละครสำคัญ ทีมสร้างทำออกมาได้ขนลุกจริงๆ ยิ่งใหญ่มากและทำภาพออกมาได้สวยมากจริงๆ ครับ ยิ่งได้เพลงประกอบของ ไบรอัน ไทเลอร์ (ทำสกอร์ให้กับ IRON MAN 3) มาเสริมในฉากนั้นต้องขอบอกว่า ยิ่งใหญ่สมจริงมาก แม้สกอร์ของ ไทเลอร์ จะไม่ค่อยติดหูและส่งเสริมอะไรมากนักในช่วงอื่นๆ ของหนังสักเท่าไรก็ตามที
แอดมินชมในระบบ IMAX ขอบอกว่าเสียงประกอบนี่จัดทำได้เต็มมากๆ แต่เมื่อดูในระบบ IMAX มันก็เป็นการวัดไปเลยว่าถ้าส่วนเสริมทำได้ดีจริง IMAX จะตอบสนองได้ดี แต่จุดที่มาร์เวลรักษามาตรฐานยังไงก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คือระบบ 3มิติ ถ้าไม่มีตัวหนังกับภาพสวยมาช่วยให้กลบเกลื่อน ระบบ 3มิติจะโดนด่าเพราะว่า ไร้ถึงความลึก ความพุ่ง และก็ความนูน เข้าใจเลยว่ามาร์เวลแกมาทำ 3มิติที่หลัง ก็อย่างที่บอกถ้าไม่มีตัวหนังมาช่วยจะโดนด่าจริงๆ แต่ถึงกระนั้นถ้าดูโดยรวม THOR: THE DARK WORLD (ธอร์ เทพเจ้าสายฟ้าโลกาทมิฬ) เป็นงานที่จัดเต็มความบันเทิงได้อย่างลงตัวและสนุกจนอยากดูอีกหลายๆ รอบครับ...
ปล. เพื่อใครสงสัยในตัว เอนด์เครดิต บุคคลคนนั้นคือ ดิ คอลเลคเตอร์ (รับบทโดย เบเนซิโอ่ เดล โทโร่) ชายที่เป็นนักสะสมของทุกสิ่งในจักรวาล ซึ่งของที่ โวลล์สแตกก์ กับ ซิฟ ก็คือ อินฟินิตี้สโตน (ในคอมิคส์เรียกว่า อินฟินิตี้เจม) มันคืออัญมณีที่ไว้ประกอบเข้ากับธุงมือ อินฟินิตี้เกาท์เล็ท (ปรากฏในคลังสมบัติของโอดินใน THOR) ที่จะมีความสำคัญต่อหนังมาร์เวลในอนาคต กับตัว ธานอส (อสูรที่หันมายิ้มในเครดิตของ MARVEL'S THE AVENGERS) “ได้มาหนึ่งเหลืออีกห้า” คือคำที่ คอลเลคเตอร์ พูด โดยมันจะมีหกชิ้นนั่นเอง ส่วน ดิ คอลเลคเตอร์ จะมีบทบาทอีกครั้งใน GUARDIANS OF THE GALAXY หนังใหม่มาร์เวลปีหน้า!!
ความยาวทั้งหมด 112 นาที
คะแนน 9/10
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น