วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

LOOPER


LOOPER / ทะลุเวลา อึดล่าอึด


ผู้จัดจำหน่าย : FILMNATION ENTERTAINMENT
สตูดิโอผู้สร้าง : DMG ENTERTAINMENT, ENDGAME ENTERTAINMENT
ผู้กำกับ : ไรอัน จอห์นสัน (BRICK, THE BROTHERS BLOOM)
ประเภทของหนัง : ACTION | SCI-FI | THRILLER

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอัธรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
“หนังไซไฟที่ดูสนุกมากๆ เรื่องนึงแห่งทศวรรษ, อดีตจะเปลี่ยนแปลงอนาคต”


ปีนี้มีหนังไซไฟเรื่องหนึ่งที่ถูกบรรดานักวิจารณ์หนังชื่นชมเป็นอย่างมากและถูกยกให้เป็น "หนังไซไฟที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปี" ถัดจาก The Matrix ที่เคยสร้างปรากฏการณ์ไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนี้มีหนังเรื่องหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมาแล้วหนังเรื่องนั้นก็คือ "Looper", Looper คือเรื่องราวของโลกอนาคตในปี 2072 ทีมีอาชีพเถื่อนที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าคนโดยเป็นการส่งคนที่ต้องการฆ่ามาในอดีตในปี 2044 และโดนล่อเป้า จบชีวิต แต่จะเป็นอย่างไรเมื่อ ลูปเปอร์ที่ชื่อว่า โจ (โจเซฟ กอร์ดอน ลิววิทท์) ที่มาปิดบัญชีเหมือนปกติอย่างทุกวัน แต่แล้วคนที่เขาต้องจัดการในวันนี้ มีชื่อว่า โจ (บรูซ วิลลิส) เหมือนกัน ใช่แล้วโจคนนั้นคือโจในอีก 30 ปีข้างหน้า...

หนังมีการดำเนินเรื่องหนังมีการดำเนินเรื่องรวดเร็วแต่มีการไปทีละสเต็ป ทีละสเต็ป ทีละสเต็ป อธิบายรายละเอียดไม่ให้ตกหล่น ดังเช่นในองก์แรกของหนังก็จะเป็นการอธิบายและแจกแจงรายละเอียดที่มาที่ไปของอาชีพลูปเปอร์ ว่าห้ามพลาดให้เป้าหมายหนี ห้ามให้เป้าหมายรอด และนำเสนอว่าหากเป้าหมายรอดไปแล้วจะเป็นยังไง อธิบายตัวละครของโจ (โจเซฟ กอร์ดอน-ลิววิทท์) ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร จนไปจบองก์แรกในช่วงการปรากฏตัวโจอีกคนที่มาจากอนาคต (บรูซ วิลลิส) ในฐานะของเป้าสังหาร, พอขึ้นองก์สองของหนัง หนังก็ดำเนินเรื่องต่อว่าเหตุการณ์นั้นเกิดอะไรต่อไป โจที่พลาดเป้าหมายที่เป็นตัวเองในอนาคตเจอเหตุการณ์อะไรต่อ ดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ ตัดสลับฉากของเรื่องราวชีวิตของโจในอนาคต ก็มาสู่การพบหน้าเจอกันของโจทั้งสองคนด้วยเทคนิคการสร้างรอยแผลให้ตนเองเพื่อตัวเองในอนาคตก็จะมีรอยแผลเหมือนกัน


หลังจากอธิบายว่าทำไมโจจากอนาคตถึงมานี่ก็เพื่อตามล้างจุดเริ่มต้นทั้งหมด คราวนี้หนังแนะนำตัวละครสำคัญคนที่สามและสี่นั้นก็คือ ซาร่า (เอมิลี่ บลันท์) และ ซิด (เพียรซ์ แก๊กนอน) ลูกชายของเอมิลี่ จบองก์ที่สอง เข้าสู่องก์ที่ 3 ทีนี่หนังเข้าสู่โหมดหนังแอ็คชั่นที่มีความระทึก อาจจะไม่ได้มีฉากแอ็คชั่นที่มันส์เละเทะมากมายออกจะน้อยไปด้วยซ้ำหากจะเรียกว่าหนังแอ็คชั่น แต่หนังกลับเข้าสู่การดำเนินเรื่องที่สร้างความสนใจได้ตลอดเหมือนกับดังเช่นองก์แรก มีความน่าสนใจในการอธิบายตัวละครและสร้างความสัมพันธ์ของตัวละครโดยเฉพาะ ซาร่า และ ซิด ความดราม่าที่ทำให้หนังสร้างความสัมพันธ์ของตัวละครได้ดีขึ้นเรื่อยๆ พอหนังยิ่งเข้าใกล้สู่ฉากท้ายๆ ก่อนเข้าสู่บทสรุปของหนัง หนังก็ดีขึ้นๆ เรื่อยๆ ลุ้นระทึกตลอดว่าบทสรุปของหนังจะเป็นอย่างไร พอถึงบทสรุปของหนังจริงๆ ก็โอเคครับจบสวยไม่มีอะไรให้ค้างคา ดูจบอย่างมีความสุข

ก็อย่างที่บอกครับว่าหนังมีการดำเนินเรื่องที่ดี และสร้างความน่าสนใจของตัวละครได้ดีขึ้นเรื่อยๆ สร้างความสัมพันธ์ของตัวละครได้ดี และสร้างความระทึกได้ดีขึ้นเรื่อย โดยที่ไม่มีอะไรที่ตกหล่นไประหว่างการดำเนินเรื่อง มีฉากแอ็คชั่นที่ประปรายไม่เยอะแต่ก็สมน้ำสมเนื้อไม่ได้ดูน่าเกลียด และที่สำคัญหนังไม่ทิ้งความสนุกไป และดูสนุกได้โดยไม่ต้องมีปรัชญาให้หนักสมองเล่นเหมือนกับบรรดาหนังไซไฟบางเรื่อง ซึ่งคงเป็นเพราะบทภาพยนตร์ของหนังเรื่องนี้ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ออกมาดี บทภาพยนตร์ของหนังเรื่อง Looper เขียนโดย ไรอัน จอห์นสัน (ขออภัยที่เรียกว่า เรียน จอห์นสัน มานาน) ที่เข้าใจว่า ไรอัน ใช้เวลาเขียนบทหนังอยู่ประมาณ 4 ปี ซึ่งถ้าเขียนบทนานขนาดนั้นเราก็ไม่ต้องไปสงสัยแล้วละว่าทำไมหนังถึงออกมาดีอันนี้หายสงสัยได้เลยครับ


ในเมื่อเป็นผู้เขียนบทแล้วทำไมจะไม่เป็นผู้กำกับซะละ ไรอัน จอห์นสัน เข้าใจบทที่ตัวเองเขียนอย่างดีพอต้องมาเปลี่ยนให้กลายเป็นหนังเขาก็ทำให้หนังออกมาได้ดีอย่างที่เห็นจากที่ได้ดูมา ก็ไม่รู้ว่าตอนเขากำกับหนังก่อนหน้า Looper ของเขาอย่าง Brick เมื่อปี 2005 และ The Brothers Bloom เมื่อปี 2008 ก็ไม่รู้ว่ากำกับออกมาได้ดีขนาดไหน ก็เลยไม่รู้ว่าจะเปรียบเทียบกันอย่างไง แต่ถ้าดูจากการกำกับ Looper ขอบอกว่า ไรอัน จอห์นสัน กำกับหนังออกมาได้ดีมากๆ ทั้งการใช้มุมกล้องที่รวดเร็วและช้าสลับกันไป และการใช้เพลงสกอร์ประกอบหนังก็ทำออกมาได้ดีด้วยฟังออกดูหนักๆ และ เบาๆ ออกแนวอีเล็คโทรนิคด้วยซ้ำก็ดูเข้ากับหนังดีเพราะหนังเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอนาคตด้วย เราเลยคล้อยตามไปได้ง่ายๆ ดังนั้นมันก็เลยเข้ากันได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

โจเซฟ กอร์ดอน-ลิววิทท์ ที่พยายามแต่งหน้าให้ดูออกมาคล้ายและเหมือนบรูซ วิลลิสในวัยหนุ่มหากเปรียบเทียบแล้วก็ดูไม่เหมือนมากเท่าไรหรอกครับ แต่หนังก็พออธิบายตรงนี้ได้ดังฉากอธิบายเรื่องราวของโจในอนาคตว่ามีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหนังก็ไม่ได้ทำให้เชื่อแต่แค่หาเหตุผลว่าทำไมในหนังโจตอนแก่ถึงออกมาเป็นแบบนี้ การแสดงของ โจเซฟ กอร์ดอน-ลิววิทท์ เล่นดีในบทของโจในวัยหนุ่มพอๆ กับบรูซ วิลลิส ในบทของโจในวัยสูงอายุทั้งสองคนเล่นได้ดีก็ทำให้เราเชื่อได้ว่าทั้งสองคนเล่นเป็นคนๆ เดียวกัน แต่สำหรับทั้งคู่หากให้เทียบการแสดงในหนังเรื่องนี้ โจเซฟ กอร์ดอน-ลิววิทท์ เล่นดีไม่เท่ากับ (500) Days of Summer และ The Dark Knight Rises และ บรูซ วิลลิส เล่นดีไม่เท่าตอน The Sixth Sense และ Die Hard แต่โดยรวมก็เล่นดีไม่ได้แย่อะไร


การแสดงของเอมิลี่ บลันท์ จะเล่นดีไหมก็เล่นดีนะแต่ดูเป็นรองเมื่อเทียบกับ เพียรซ์ แก๊กนอน ไอ้เด็กน้อยผู้ชายอายุ 10 ขวบที่เป็นลูกชายในเรื่อง ไอ้หนูเพียรซ์เล่นได้โหดเกินวัยแสดงออกทางแววตาได้ดูน่ากลัวเกินเด็ก ทำให้ไอ้หนูคนนี้กลับเป็นการแสดงที่ดูน่าจดจำที่สุดของเรื่องนี้เลย, ฉากที่คิดว่าดีที่สุดของ Looper คงเป็นฉากการเผชิญหน้ากันระหว่างโจปัจจุบันและโจอนาคตในร้านอาหารที่โจชอบกินอยู่บ่อยๆ ที่แสดงให้เห็นว่าโจในอนาคตรู้เหลี่ยมและมีชั้นเชิงมากกว่าและเป็นการปะทะคารมที่มันส์เอามากๆ ซึ่งฉากนี้จะเป็นหนึ่งในฉากที่จะมีส่วนสำคัญต่อบทสรุปในหนังด้วย ส่วนอะไรที่ต่อจากนั้นอาจจะทำให้หลายคนมึนๆ กันก็ไม่ต้องไปคิดให้มึนหรอกครับ "มิติคู่ขนาน" มันคือคำตอบ และชื่อเรื่องคืออะไร Looper ก็ตามนั้นเลย

สรุป
“LOOPER เป็นหนังไซไฟที่ไม่ต้องมีปรัชญาให้ปวดหัวเหมือน The Matrix, ไม่ต้องมานั่งคิดว่าตอนจบหนังจะสื่อถึงอะไรเหมือน Inception, แต่มีความสนุกระดับเดียวกันกับ Total Recall ฉบับปี 1990 และ Inception, และไม่ชวนง่วงเหมือน Total Recall ฉบับปี 2012 ดังนั้นคือ Looper เป็นหนังไซไฟที่ดีมากๆ เรื่องนึงแห่งทศวรรษเลยทีเดียว”


ความยาวทั้งหมด 118 นาที
คะแนน 10/10
-----------------------------------------------------------------------
ใครที่ชอบอัพเดทข่าวสารวงการหนังขออนุญาติฝากแฟนเพจ KURENAI THE MOVIE ไว้ด้วยนะครับ มาอัพเดทข่าวสาร หรือ พูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ แบบมีสาระบ้างไม่มีสาระบ้าง อัพเดทแบบไม่ให้ตกข่าวกันเลยครับ อย่าลืมมากด Like กันนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger