วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

THE TWILIGHT SAGA: BREAKING DAWN - PART II


THE TWILIGHT SAGA: BREAKING DAWN - PART II / 
แวมไพร์ ทไวไลท์ 4: เบรคกิ้ง ดอว์น - ภาค 2


ผู้จัดจำหน่าย : SUMMIT ENTERTAINMENT
สตูดิโอผู้สร้าง : LIONSGATE, SUMMIT ENTERTAINMENT
ผู้กำกับ : บิลล์ คอนดอน 
(DREAMGIRLS, THE TWILIGHT SAGA: BREAKING DAWN - PART I)
ประเภทของหนัง : ADVENTURE | DRAMA | FANTASY

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
“ภาคที่ดีที่สุดของซีรี่ย์ทไวไลท์”


ยอมรับครับว่าเป็นคนนึงที่เกลียดหนังในซีรี่ย์ตระกูลทไวไลท์มากๆ ทั้งเนื้อเรื่องชิงรักหักสวาท หรือ เรื่องรักสามเส้าในหนังที่น่าเบื่อมาตลอด แถมเนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องที่ชวนให้หลับได้ตลอดเวลา แต่ก็ยอมรับครับว่าดูหนังเรื่องนี้ตระกูลนี้มาทุกภาคแค่ไม่ได้ดูในโรงภาพยนตร์เท่านั้น ซึ่งตอนแรกก็คิดเหมือนกันว่าหนังภาคที่ 4.2 นี้จะไม่ดูในโรงภาพยนตร์เหมือนกันแต่จะรอแผ่น แต่ด้วยการที่ตัวเองว่างจัด ว่างมากถึงมากที่สุดจึงไม่มีอะไรทำเลยตีตั๋วเข้าไปดูหนังภาคนี้ด้วยการที่ไม่ได้หวังอะไรเลย ซึ่งความจริงเนี่ยการไปดูในครั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับการตัดต่อตัวอย่างหนังของทีมงานหนังเลยที่ทำออกมาได้น่าดู และโชคดีที่ว่างจัดจริงๆ

ซึ่งอย่างที่บอกไปครับว่าหนังภาคนี้เราไปดูด้วยการที่ไม่คาดหวังอะไรเลย ผลที่ได้จากหนังก็คือหนังทำออกมาได้เหนือความคาดหมายมากครับ ซึ่งก่อนจะเข้าเนื้อหามารู้เรื่องย่อของหนังภาคนี้กันก่อน “หลังจาก the Twilight Saga: Breaking Dawn - Part I เรารับรู้กันแล้วว่าเบลล่าได้กลายเป็นแวมไพร์อย่างเต็มตัวและได้ให้กำเนิดลูกสาวที่มีชื่อว่า เรเนสเม่ ซึ่งผูกจิตไว้กับ เจค็อบ เรียบร้อยซึ่งหลังเหตุการณ์นั้น เรเนสเม่ ก็โตวัยมากจนในที่สุดเรื่องนี้ก็ไปเข้าหูทาง โวลตูรี่ ซึ่งทางโวลตูรี่กลัวว่าเรเนสเม่จะกลายเป็นเด็กอมตะ โวลตูรี่ทำให้ทางตระกูลคัลเล็นต้องหาพยานมาเพื่อเป็นการปกป้องเรเนสเม่ซึ่งทางโวลตูรี่และพันธมิตรตระกูลคัลเล็นเตรียมเปิดศึกกันหากการเจรจาเพื่อปกป้องเรเนสเม่ไม่เป็นผล” นี่คือเรื่องราวย่อๆ ของภาคนี้ครับ


อย่างที่บอกครับหนังภาคนี้ทำออกมาได้ดีมากๆ ครับทำออกมาได้ฉีกแนวจาก 4 ภาคก่อนหน้าเหมือนกับเป็นหนังคนละเรื่องกันเลย ซึ่งภาคนี้ไม่มีอะไรที่ 4 ภาคก่อนหน้ามีเลยครับทั้งการเดินเรื่องช้า ฉากเลิฟๆ กันของ เอ็ดเวิร์ด และ เบลล่า แอ็คชั่นไม่มี ทั้งหมดนี้ในหนังภาค 4.2 นี้ไม่มีจริงๆ ครับเพราะหนังมีการดำเนินเรื่องที่รวดเร็วมากๆ (แม้จะมีช่วงที่อืดๆ บ้างก็ตาม) เพราะคงไม่ต้องไปห่วงเรื่องเลิฟๆ ของ เอ็ดเวิร์ด และ เบลล่า ซักเท่าไรเพราะทั้งคู่ได้สมหวังกันไปเรียบร้อยทุกอย่างใน 4.1 แล้วเรียบร้อย ซึ่งในภาคนี้ก็ไปเน้นที่ตัวของเจค็อบและเรเนสเม่มากกว่า (เน้นยังไงต้องดูช่วงท้ายเรื่องที่ความหวังจะอยู่ที่ทั้งคู่) และฉากแอ็คชั่นก็ทำออกมาได้มันส์มากมายๆ เอาอยู่จริงๆ

ซึ่งอันนี้สำหรับแฟนๆ ที่รอฉากแอ็คชั่นมาตลอดตั้งแต่ภาคแรกคงสมหวังกันซักที (ผมคนนึงที่สมหวัง) เพราะแอ็คชั่นภาคนี้หากพูดง่ายๆ ก็คือมันมันส์ได้โล่ห์กันเลยทีเดียวอะไรที่ใส่ได้ก็ใส่มาให้หมดเอาซะเกือบหยุดหายใจกันเลย แต่ก็นะหากใครจะหวังฉายแอ็คชั่นถล่มเมืองอย่างหนังบล็อคบัสเตอร์ทั้งหลายคงเทียบไม่ได้หรอกครับ แต่ที่บอกว่ามันส์มากๆ นี่มันหมายถึงมันส์ในอารมณ์หลังจากรอคอยมานานถึง 4 ภาคด้วยกัน มีการทำให้คนดูตกใจไปบ้าง จากการสูญเสียตัวละครบางตัวที่ไม่ได้รักและก็ไม่ได้เกลียดซักเท่าไรตอนดู 4 ภาคก่อนอย่างคุณหมอคาลไลส์ แต่ก็ทำใจไม่ได้หากคุณหมอต้องตายเหมือนกับจู่ๆ ก็มีความผูกพันธ์รักบรรดาตัวละครพวกนี้อย่างบอกไม่ถูกทั้งๆ ที่หลายภาคก่อนหน้าเชียร์ให้ตายไวๆ 


แต่ก็อีกนั้นแหละครับหนังปูฉากแอ็คชั่นมาเยอะแล้วแต่ในท้ายที่สุดหนังก็หักมุมคนดู!! ตอนนั้นอุตสาห์เอาใจช่วยแบบสุดแรงเกิดแล้วน่ะ แต่หักมุมแบบนี้ขอบอกรับได้ไม่เหมือนกับการหักมุมของ The Mist อันนั้นรับไม่ได้ แต่ก็อีกนั้นแหละครับถ้าหากหนังมีฉากแอ็คชั่นยาวกว่านี้นิดนึงหนังจะได้ใจคนที่ไม่ชอบ 4 ภาคก่อนหน้านี้มากขึ้นแต่แค่นี้ก็โอเคแล้วล่ะ นอกจากภาคนี้ฉากแอ็คชั่นจะดีแล้วอีกอย่างที่หนังทำออกมาได้ดีจริงๆ ก็คือมุกตลกต่างๆ ที่หนังพยายามใส่เข้ามาเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้หนังเครียดเกินไป ก็ถ้าหากหนังไม่มีมุกตลกแล้วล่ะก็ สงสัยภาคนี้จะกลายเป็นงานหนังดราม่าชิงรางวัลออสการ์สาขาหนังยอดเยี่ยมแน่นอน เพราะตัวหนังเน้นไปทีเรื่องราวการปกป้องลูกเป็นพิเศษ

ซึ่งก็ดีแล้วครับเหมือนหนังจะหาเรื่องราวที่จะเป็นธีมหลักได้ซักที (หลังจากหาเรื่องราวที่เป็นธีมไม่ได้มานาน หลายคนบอกว่าธีมหลักคือการจีบกันของเอ็ดเวิร์ดและเบลล่า แต่อันนั้นไม่นับได้ป่ะ?) ที่หนังถ่ายทอดความรักของพ่อและแม่ออกมาได้ดีระดับที่ดีมากๆ เลยครับ ซึ่งไม่รู้เป็นไรเหมือนกัน แม้ว่าหนังจะหาทางจบเรื่องง่ายเกินไปนิดหน่อย แต่พอถึงหนังจบจริงๆ ปุ๊บก็ไม่อยากให้หนังจบจริงๆ ครับอยากให้ สเตฟานี่ เมเยอร์ กลับมาสานเรื่องราวทไวไลท์ที่เป็นหนังในแนวแอ็คชั่นนี้ต่อ ซึ่งหากไม่ได้ก็ขอหนังสือหรือหนังเรื่องใหม่ที่เป็นแนวแอ็คชั่นสุดมันส์ไปเลย (ปีหน้าก็มีหนังที่ดัดแปลงมาจากนิยายของสเตฟานี่ เมเยอร์ ออกฉายเหมือนกันนั้นก็คือ The HOST ครับ ซึ่งหนังก็ปล่อยตัวอย่างฉบับเต็มออกมาแล้วครับผม)


อีกอย่างที่ชอบในหนังภาคนี้ก็คือบรรดาแวมไพร์เหล่าญาติของตระกูลคัลเลนที่มีมากหน้าหลายตาและโดดเด่นกันไปคนละแบบแต่ที่ชอบอย่างมากก็คือตัวเบนจามินที่มีความสามารถควบคุมดินน้ำลมไฟ และตัว วลาดิเมียร์ ที่มีความแค้นกับตัวโวลตูรี่ (วลาดิเมียร์สำเนียงรัสเซียก็เด่นด้วย) ซึ่งพอพวกนี้ปรากฏเด่นบนจอก็ขโมยซีนอย่างเห็นได้ชัด เด่นกว่าตัวละครหลักของหนังอย่าง เอ็ดเวิร์ด, เบลล่า, เจค็อบ ซะอีก ซึ่งนักแสดงหลักทั้งสามคนที่รับบทก็รู้สึกว่าภาคนี้จะดูโดดเด่นขึ้นมา เอ๊ะ!! หรือเป็นเพราะการได้ดูพวกนี้บนจอยักษ์ในโรงภาพยนตร์ที่ไม่ได้เป็นจอโทรทัศน์และจอคอมกันเนี่ย และ เพลงสกอร์ประกอบหนังที่ทำออกมาไพเราะและทรงพลังและปล่อยออกมาได้ถูกจังหวะเป็นอย่างมาก เอางี้เลยละกันสรุปเลยว่า 4.2 เนี่ยเป็นภาคที่ดีที่สุดของหนังตระกูลทไวไลท์เพราะบทที่ดีนั้นแหละ ถึงเอฟเฟกต์ในหนังจะดีบ้างไม่ดีบ้างก็ตาม ซึ่งความดีความชอบทั้งหมดต้องยกให้แก่ บิลล์ คอนดอน ที่เป็นผู้กำกับจาก 4.1 ที่สามารถเปลี่ยนหนังจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้ขนาดนี้

สรุป
“the Twilight Saga: Breaking Dawn - Part II เป็นหนังที่ดีที่สุดของหนังในซีรี่ย์นี้ทั้งบทที่ลงตัวและฉากแอ็คชั่นที่ทำออกมาได้ดีและเหนือความคาดหมายและการใช้อะไรต่างๆ ที่ถูกจังหวะและลงล็อคพอดิบพอดี ซึ่งถือว่าหนังภาคนี้เป็นการปิดตำนานที่ทำออกมาได้ดีมากๆ และน่าจะเป็นที่จดจำของแฟนหนังที่ทั้งชอบและไม่ค่อยชอบกับหนัง 4 ภาคก่อนหน้ามาก่อน”


ความยาวทั้งหมด 115 นาที
คะแนน 8.5/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger