วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

RISE OF THE GUARDIANS


RISE OF THE GUARDIANS / ห้าเทพผู้พิทักษ์


ผู้จัดจำหน่าย : PARAMOUNT PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : DREAMWORKS ANIMATION
ผู้กำกับ : ปีเตอร์ แรมซี่ย์
ประเภทของหนัง : ANIMATION | ADVENTURE | FAMILY

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
“The Avengers ฉบับคุณหนูๆ ที่ผู้ใหญ่ก็สนุกได้เพราะเรื่องราวมันดีจริงๆ”


อนิเมชั่นเรื่องสุดท้ายของ ดรีมเวิร์ค อนิเมชั่น ที่จะอยู่ภายใต้ชายคาของ พาราเมาท์ พิคเจอร์ ก่อนย้ายสู่บ้านหลังใหม่อย่าง ทเว็นตี้ เซนจูรี่ ฟ็อกซ์ ซึ่งก็คือ "Rise of the Guardians" ซึ่ง Rise of the Guardians นั้นดัดแปลงมาจากหนังสือซีรี่ย์ชุด "The Guardians of Childhood" ที่มีอยู่เป็นนิยายอยู่สามเล่ม และ หนังสือภาพอยู่อีกสองเล่ม โดยนิยายทั้งสามเล่มนั้นเป็นเรื่องราวของ นิโคลาส เซนท์. นอร์ท (ซานต้าคลอส) ในตอน Nicholas St. North and the Battle of the Nightmare King, กระต่ายอีสเตอร์ ในตอน E. Aster Bunnymund and the Warrior Eggs at the Earth's Core!, นางฟ้าฟันน้ำนม ในตอน Toothiana: Queen of the Tooth Fairy Armies ส่วนหนังสือภาพทั้งสองเล่มเป็นเรื่องราวของ มนุษย์ทราย ในตอน The Sandman: The Story of Sanderson Mansnoozie

แต่หนังสือภาพอีกเล่มนั่นก็คือ The Man in the Moon คือหนังสือที่ถูกนำเอามาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ โดยหนังสือซีรี่ย์นี้ถูกแต่งขึ้นโดย "วิลเลี่ยม จอยซ์" โดยหนังนั้นจะถูกกำกับโดย ปีเตอร์ แรมซี่ย์ ฝ่ายศิลป์ในการเขียนสตอรี่บอร์ดจากหนังดังหลายๆ เรื่องอย่าง Men In Black, Independence Day, Fight Club เป็นต้น ซึ่งตัวหนัง Rise of the Guardians ก็ว่ากันด้วยเรื่องการรวมพลังของผู้พิทักษ์ทั้งห้าที่ต้องมาสู้กับปีศาจแห่งฝันร้าย


หากเปรียบเทียบว่านี่เป็นหนังรวมทีมซูเปอร์ฮีโร่นี่ก็เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เป็นฉบับอนิเมชั่นเท่านั้นเอง แต่การรวมฮีโร่ฉบับนี้เป็นฉบับที่เน้นความสำคัญคือปกป้องความศรัทธาที่เด็กๆ มีให้เทพในความเชื่อ ใช่แล้วหนังมีการรวมตัวและรวมทีมแบบหนังเรื่อง Marvel's The Avengers แน่นอนครับว่าหนังไม่สามารถยิ่งใหญ่เท่าได้แต่หนังเน้นเรื่องความสัมพันธ์และการดำเนินเรื่องมากกว่าโดยการดำเนินเรื่องที่มีความสนุก, ตื้นเต้น, ตระการตา แบบที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ก็ดูดี ซึ่งตัวหนังอย่างที่บอกว่าหนังเน้นไปที่ตัวคำว่าศรัทธา ดังนั้นหนังจึงต้องไปเน้นที่ตัวเอกซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องอย่าง แจ็ค ฟรอสต์!!

ในเมื่อหนังเน้นไปที่ตัวแจ็ค ฟรอสต์ ดังนั้นเราก็จะได้เห็นการพัฒนาจากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงเทพที่รักความสนุกเพียงเท่านั้นและไม่รู้ถึงตัวตนของตัวเองไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครทำไมตัวเองถึงมีพลังและตัวเองมีหน้าที่อะไร ซึ่งตัวฟรอสต์เองในหนังก็เป็นตัวละครเทพที่ในหนังไม่มีเด็กศรัทธา แถมยังถูกเล่าว่าเป็นนิยายหลอกเด็กด้วยซ้ำ แต่ตัวฟรอสต์เองก็รับรู้ว่าตัวเองมีพลังพิเศษ แค่ไม่รู้ว่าตัวเองมีหน้าที่อะไรเท่านั้น แต่เมื่อฟรอสต์ได้เข้าเป็นผู้พิทักษ์ (Guardians) ก็เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้ฟรอสต์ต้องยิ่งหาตัวตนของตนเอง (ในส่วนตรงนี้หลังจากโดน นอร์ท สอนเชิงเข้าให้) และหาหน้าที่ที่ทำให้ทำไมตัวเองถึงปรากฏบนโลก


ดังนั้นหากต้องอธิบายก็คือตัวหนังนอกจากมุ่งเน้นไปที่คำว่าตัวศรัทธาที่เป็นธีมหลักแล้ว ตัวฟรอสต์เองที่เป็นตัวละครหลักที่ต้องตามหาตัวเองเพื่อส่งผ่านแก่เด็กๆ ที่เติบโตในอนาคต ดังนั้นนี่ก็คือหนังประเภท Find Yourself (ตามหาตัวตน) นั่นเองซึ่งหนังตามหาตัวตนเองก็มักถูกนำมาใช้อยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะหนังของดรีมเวิร์คด้วยแล้วยิ่งเห็นได้ชัดอย่าง Kung Fu Panda ทั้ง 1 และ 2, How to Train Your Dragon รวมไปถึงหนังอย่าง Puss In Boots ด้วยเป็นต้น  นอกจากนี้หนังก็เด่นในการผูกเรื่องราวที่ใหญ่โตของหนังให้สามารถรวมกันให้เป็นเรื่องราวเดียวได้, ซึ่งหากมองตัวหนังแล้วเราก็จะรู้ว่าหนังไม่ได้ทำให้แค่เด็กดูเท่านั้นตามสไตล์หนังอนิเมชั่นที่ต้องคุมโทนเรื่องให้ผู้ใหญ่ที่พาลูกๆ น้องๆ ของตัวเองไปดูก็ต้องดูสนุกด้วย ยิ่ง RotG เอาเรื่องราวเทพที่เด็กทุกคนทั่วโลกมาเป็นเรื่องราวงานนี้ก็สามารถเข้าถึงผู้ใหญ่ได้แน่นอน หากผู้ใหญ่มีความเชื่อและศรัทธาต่อสิ่งที่ตัวเองเชื่อในอดีต

แถมตัวร้ายของเรื่องอย่างพิทช์ (BoogieMan) ก็เข้าถึงตัวคนดูที่เป็นผู้ใหญ่ได้ดีเพราะตัวละครตัวนี้มีความลึกที่เราไม่สามารถจับต้องได้ มีความลึกลับ น่าสงสาร และน่าเห็นใจได้ในตัวคนได้ ซึ่งดูแล้วก็เหมือนตัว โลกิ ตัวร้ายของ Thor เหมือนกัน, ซึ่งตัวหนังเองก็อย่างที่เรารับรู้ว่าหนังมีตัวละครหลักอยู่ 5 ตัวด้วยกันเห็นได้ชัดว่าหนังสามารถจัดสั่นปันส่วนบทบาทของตัวละครได้ดีลงตัว แต่ละช่วงที่ตัวละครปรากฏตัวก็โดดเด่นอยู่เสมอมีแย่งซีนอยู่บ้างแต่ที่แย่งซีนก็ต่อเมื่อตัวละครตัวอื่นไม่มีความเด่นในฉากนั้นๆ แล้ว อีกอย่างที่หนังทำได้ลงตัวก็คือการดัดแปลงเรื่องราวของบรรดาเทพให้มาปรากฏบนจอแบบการรวมทีมได้ดีมากๆ ครับ ส่วนที่ว่าดีนั่นอาจเป็นเพราะเราไม่เคยดูหนังที่รวมเทพได้มากขนาดนี้ก็เป็นได้ (เหมือนกรณี The Avengers ที่ไม่เคยเห็นรวมซูเปอร์ฮีโร่ได้มากขนาดนี้) แถมฉากแอ็คชั่นท้ายเรื่องก็สุดยอดจริงๆ แถมใช้ตัวละครได้คุ้มจริงๆ ในฉากแอ็คชั่นท้ายเรื่อง


ผู้กำกับอย่าง ปีเตอร์ แรมซี่ย์ กับการลงมาทำหน้าที่กำกับหนังเป็นครั้งแรกต้องบอกว่าสุดยอดครับกับการควบคุมเรื่องราวโทนเรื่องต่างๆ ฉากต่างๆ ให้ออกมาเป็นงานเพื่อครอบครัวที่ดูสนุกตระการตาเป็นอย่างมาก, อีกส่วนที่ดีของหนังคือเพลงประกอบที่เลือกมาใช้ในช่วงครึ่งแรกของหนังให้อารมณ์สนุกสนานประมาณเพลงประกอบของ The Wizard of OZ และช่วงหลังก็กลายเป็นเพลงที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก, ในส่วนของภาพ, เอฟเฟกต์ต่าง ที่ว่าดรีมเวิร์คพัฒนาขึ้นไปมากทีเดียวตอน Madagascar 3 ก็เห็นว่าทีมงานของดรีมเวิร์คพัฒนาเรื่อง CG Animation ไปไกลมากๆ แล้วยิ่งมาเห็นใน RotG ก็ยิ่งเห็นว่าพัฒนาไปไกลมากๆ เพราะงานนี้ดรีมเวิร์คทำออกมาได้ยิ่งใหญ่มากการใช้สีที่สวยงามเข้ากับเรื่องราวและตัวละคร ด้านภาพเอฟเฟกต์ก็พัฒนาไปไกลมากอย่างเห็นได้ชัดอย่างเราเห็นได้จากฉากการต่อสู้ต่างๆ ที่รายละเอียดของตัวละครทำออกมาได้สุดยอด เวลาบินเราเห็นเลยว่าเสื้อก็ปลิว ผมก็ปลิว เห็นขนของบันนี่พลิวสวยงามกันเลย สรุปในฉาก CG ต่างๆ ดริมเวิร์คทำออกมาได้ตื่นตาจริงๆ ครับ

ด้านการพากย์เสียงแน่นอนว่าไม่ได้ดูเสียงซาวด์แทร็คงานนี้เลยไม่รู้ว่า คริส ไพน์, อเล็ค บัลด์วิน, ฮิวจ์ แจ็คแมน, อิสล่า ฟิเชอร์, จู๊ด ลอว์ ให้เสียงพากย์ดีหรือเปล่า แต่คงดีแน่นอน แต่กับการที่ได้ดูงานพากย์ไทยขอยอมรับว่าดูพากย์ไทยสนุกจริง ทีมพากย์ก็ให้เสียงดีมาก ส่วนผู้ให้เสียง แจ็ค ฟรอสต์ ฉบับไทยอย่าง พี่โยชิ C-Quint ให้เสียงพากย์ได้สุดยอดจริงๆ ยอมรับเลย

สรุป
“RISE OF THE GUARDIANS เป็นอนิเมชั่นที่มีเรื่องราวที่เอพิคที่มีทั้งความสนุกสนาน, ความตื้นเต้น, ข้อคิดดีๆ ที่เป็นหลักการที่เด็กๆ น่าจะรับรู้ได้ นอกจากนี้หนังยังครบไปด้วยองค์ประกอบที่อนิเมชั่นดีๆ มากมาย แม้ต้องยอมรับอาจเป็นรอง How to Train Your Dragon อยู่บ้างแต่นี่คือหนังอนิเมชั่นที่มีฟอร์มจนกลายเป็นอนิเมชั่นที่ดีที่สุดแห่งปีได้ไม่ยาก!!”


ความยาวทั้งหมด 97 นาที
คะแนน 9.5/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger