วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ZERO DARK THIRTY


ZERO DARK THIRTY / ยุทธการถล่มบินลาเดน


ผู้จัดจำหน่าย : COLUMBIA PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : ANNAPURNA PICTURES
ผู้กำกับ : แคธรีน บิเกโลว์ (THE HURT LOCKER)
ประเภทของหนัง : DRAMA | HISTORY | THRILLER

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
“ปฏิบัติการตามล่าบิน ลาเดน ที่ทำออกมาได้สนุก, เจสซิก้า แชสเทน สุดยอด!!”


บิน ลาเดน คือผู้ก่อการร้ายที่ทางสหรัฐอเมริกาหมายหัวเป็นอันดับ 1 มาเป็นเวลา 10 กว่าปีจนในวันที่ 1 พฤษภาคม 2011 โลกต่างได้รับรู้ว่าผู้ก่อการร้ายคนนี้ได้เสียชีวิตแล้วจากการบุกเข้าไปจัดการแบบเงียบกริบของหน่วย SEALs ทีมที่ 6 (Red Squadron) โดยปฏิบัติการเริ่มตอน เที่ยงคืน 30 นาที นี่คือที่มาของชื่อ "ZERO DARK THIRTY" หนังที่สร้างจากเรื่องจริงเมื่อ 1 ปีครึ่งที่แล้วของผู้กำกับหญิงเจ้ารางวัลออสการ์ 'แคธรีน บิเกโลว์' จาก The Hurt Locker และมือเขียนบทจากหนังเรื่องเดียวกัน 'มาร์ค โบว์' ที่ได้นักแสดงสาวมาแรงแห่งยุค 'เจสซิก้า แชสเทน' มารับบทเจ้าหน้าที่ CIA สาวที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนปฏิบัติการลับตอนเที่ยงคืนครึ่งใน Zero Dark Thirty...!!

ผู้เขียนไม่ได้ยินดีชมชอบกับทาง THE HURT LOCKER มากหนักด้วยหลายๆ เหตุผลทั้งเนื้อเรื่องเนิบช้า ไม่กระตุ้นการจดจ่อให้ดูหนังด้วยความระทึกได้ ผิดกับตัวอย่างที่ทำออกมาได้ดีมาก แต่ถึงอย่างนั้นหนังก็ยังเป็นหนังที่ตีแผ่เรื่องราวทหารที่ไปทำสงครามออกมาได้ดีแม้จะไม่ถูกใจคนที่ไม่ได้เป็นทหารหรือไม่ใช่คนอเมริกามากนักแต่ก็ต้องยกนิ้วว่าหนังทำออกมาได้ดี ซึ่งผู้เขียนคงคิดว่า ZERO DARK THIRTY คงออกมาเนิบช้าไม่สนุกและคงไม่มีอารมณ์ร่วมเท่าไรเหมือนอย่าง The Hurt Locker นั่นคือความคิดก่อนที่จะไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งหลังจากที่ได้ชม Zero Dark Thirty ขอเปลี่ยนความคิดครับเพราะนี่คือขั่วตรงข้ามของ The Hurt Locker!!


หนังมาในรูปแบบหนังปฏิบัติการลับจริงๆ ครับแต่ไม่ได้เป็นปฏิบัติการลับที่ถูกตกแต่งขึ้นมาแต่ดันเป็นเรื่องจริงแน่นอนคือหนังจับเอาเรื่องราวที่เรารู้อยู่แล้วมาทำเป็นหนังเหมือนอย่าง Black Hawk Down ที่จุดเริ่มต้นมาจากบุคคลคนเดียวกันมาทำเป็นหนังแต่สำหรับ Zero Dark Thirty ไม่ได้เอาอะไรมาแต่งเติมเลยเพราะทุกอย่างในหนังมันเป็นอะไรที่จริงๆ เลยไม่ยากครับที่เราๆ คนดูจะรู้สึกมีอารมณ์กับหนังได้ไม่ยาก ถึงแม้ว่าตัวหนังข้อมูลที่หนังหยิบเอามาใส่เป็นข้อมูลศัพท์ทางการของทหารหรือแม้แต้ข้อมูลที่เอามำถ่ายทอดก็เป็นข้อมูลที่เยอะมากๆ แต่แน่นอนว่าข้อมูลที่เอามานำเสนอเนี่ยสมองเราเก็บไม่หมดอยู่แล้วอย่างแน่นอน แต่ข้อมูลที่ให้ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกมึนหรืองงกับเนื้อเรื่องของหนังเลยแม้แต่น้อยครับ

หนังถ่ายทอดการนำเสนอออกมาได้อย่างรวดเร็วกระชับชับไวจากปีหนึ่งไปสู่อีกปีอย่างรวดเร็วแต่การไปอย่างรวดเร็วนี้ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อการดำเนินเรื่องมากครับเพราะหนังไม่ปล่อยให้รายละเอียดตกหายไป สามารถเก็บอะไรที่สำคัญๆ ได้หมด ไม่เว้นแม่แต่การสอบปากคำผู้ต้องหาที่หนังทำออกมาได้สุดยอดมาก ยิ่งพอหนังดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ และยิ่งเข้าใกล้บทสรุปมากขึ้นเท่าไรหนังยิ่งทวีความตื้นเต้นมากขึ้นครับ ส่วนนึงอาจจะเป็นเพราะตัวละครมายา ที่ เจสซิก้า แชสเทน เล่นไว้ครับ เธอสามารถพยุงหนังทั้งเรื่องให้เดินหน้าไปได้ตั้งแต่ต้นจบจบจริงๆ ถ่ายทอดความลำบากของภารกิจนี้ได้อย่างถึงบทบาทครับ อีกอย่างบทก็ส่งให้มายาจริงๆ ส่งให้เธอโดดเด่นมากขึ้นจริงๆ ถึงแม้บทสรุปของหนังจะตั้งคำถามว่า "ภารกิจ" นี้จบไปแล้วมันได้อะไรขึ้นมาก็ตามที


ความดีความชอบอย่างแรกคงต้องยกให้กับ มาร์ค โบว์ มือเขียนบทครับที่สามารถดัดแปลงข้อมูลเมื่อ 1 ปีที่แล้วให้ออกมาเป็นหนังได้ดีขนาดนี้ครับผม ถึงแม้ตอนเขียนบทครั้งแรกจะเขียนถึงแผนตามล่าก็ตามแต่พอรู้ว่าบิน ลาเดน ตายหนังก็ดัดแปลงมาเป็นแผนสังหารบิน ลาเดน ทันทีก็ต้องชื่นชมอยู่ดีว่าเขียนบทออกมาได้ดีจริงๆ ครับ อย่างที่สองคงไม่พ้น แคธรีน บิเกโลว์ ผู้กำกับของหนังที่ถ่ายทอดทุกอย่างของหนัง ถ่ายทอดแผนปฏิบัติการนี้ให้ออกมาดูสนุกลื่นไหลและตื้นเต้นได้ เสียดายอย่างเดียวเธอพลาดเข้าชิงออสการ์เหมือนกับ เบน แอฟเฟล็ค ในรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมก็ตามที แต่ต้องยืนยันว่าเธอเอาอยู่กับการกำกับหนังเรื่องนี้จริงๆ


ความยาวทั้งหมด 157 นาที
คะแนน 9.5/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger