วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

DREDD 3D


DREDD 3D / เดร็ด คนหน้ากากทมิฬ


(20/09/2012) - 80 BATH

ผู้จัดจำหน่าย : RELIANCE BIG PICTURES, DNA FILMS
สตูดิโอผู้สร้าง : DNA FILMS, IM GLOBAL
ผู้กำกับ : พีท ทราวิส (VANTAGE POINT)
ประเภทของหนัง : ACTION | SCI-FI

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอัธรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
“แอ็คชั่นดี เนื้อเรื่องยอด สุดยอดความมันส์ ขอตัดสินให้ประหาร!!”


Dredd หรือชื่อเต็มๆ ที่แฟนๆ การ์ตูนคอมิคส์รู้จักกันดีคือ Judge Dredd ที่ตีพิมพ์ในนิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์ของอังกฤษอย่าง 2000 A.D. ที่เมื่อปี 1995 ได้ถูกนำมาสร้างเป็นหนังพร้อมได้ดาราแอ็คชั่นอย่าง ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน มารับบทเป็น จัดจ์ เดร็ด กลับได้กระแสด้านลบจากคนดูทั่วไป นักวิจารณ์หนัง และที่สำคัญ ถูกแฟนๆ ของ จัดจ์ เดร็ด ด่าแบบสุดๆ จนเวลาล่วงเลยมา 17 ปี กระแสของฉบับปี 1995 ได้เบาบางลงไป เดร็ดจึงขอกลับมาอีกครั้งพร้อมกับคำประกาศที่ว่านี่ไม่ใช่หนังรีเม๊ค พร้อมได้ คาร์ล เออร์แบน ดารานำจาก Star Trek ในบทของ ดร. โบนส์ มารับบทเป็น เดร็ด ใน Dredd 3D

Dredd 3D คือเรื่องราวในเมือง เมกะ ซีตี้ วัน เมืองที่เป็นเศษซากอารยธรรม เกิดอาชญกรรมมากมายในเมือง ปัญหาต่างๆ มากมาย แต่มีเพียงกลุ่มตุลาการที่เรียกว่า จัดจ์ คอยดูแลเมือง พวกเขามีหน้าที่ดูแลความสงบในเมือง พวกเขาทำหน้าที่ลูกขุน ผู้พิพากษา และมือประหารในตัวคนเดียว "เดร็ด" ตุลาการมากฝีมือคือผู้ที่ต้องมาดูแลตุลาการฝึกหัด แอนเดอร์สัน ในการบุกรังผลิตยาเสพติด ที่ทั้งตึกดูแลโดย มาม่า งานนี้ทั้งเดร็ดและแอนเดอร์สันจะต้องจัดการมาม่าด้วยอาวุธเพียงหนึ่งเดียวที่มีอยู่ในตุลาการนั้นก็คือ "ความยุติธรรม"


คืออยากจะบอกว่า Judge Dredd เมื่อปี 1995 ผมไม่เคยดูนะครับ และตัวหนังสือการ์ตูนก็ไม่เคยอ่าน ไม่เข้าตัวเองเหมือนกันไปอยู่มุมไหนของโลกมา ดังนั้นอย่างนี้การรีวิวอันนี้จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ Judge Dredd ของซิลเวสเตอร์ สตอลโลน และไม่มีการเปรียบเทียบกับตัวฉบับตัวหนังสือการ์ตูน สำหรับ Dredd 3D หากมองกันที่เนื้อเรื่องที่หนังนำเสนอในตัวอย่างอาจจะให้อารมณ์เหมือนหนัง 2 เรื่องอย่าง Total Recall กับ The Raid: Redemption นั้นคืองานแอ็คชั่นที่หากดูตัวอย่างก็คงเป็นเช่นนั้น และ การบุกตึกลุยไปให้ถึงบอส ซึ่งนั้นคือการนำเสนอในส่วนของตัวอย่าง แต่สำหรับตัวหนังฉบับเต็มถือว่าทำได้เหนือกว่าตัวอย่างมากมาย อาจจะไม่ได้โดดเด่นในด้านของตัวละคร หรือ ด้านเนื้อเรื่องมากนัก แต่โดดเด่นในด้านการให้ความคิด และตัวหนังทำได้ดีมากๆ ในด้านของฉากแอ็คชั่น และเอฟเฟกต์ต่างๆ ดูจากแค่ทุนสร้างแค่ 45 ล้านเท่านั้น

สำหรับด้านตัวละครการพัฒนาของตัวละครหากดูการลึกของตัวครและจะลงลึกถึงการเติบโตของตัวละครอย่างเดร็ด มันคือการเสียเวลาเปล่า เพราะตัวเดร็ดมีรูปธรรมเพียงอย่างเดียวคือความดีกับความชั่ว, ถูกหรือผิด, ขาวหรือดำ เพียงเท่านั้น ซึ่งปมต่างๆ ปัญหาของตัวละครอย่างเดร็ดนั้นไม่มีเลย แต่กับตัวละครตุลาการฝึกหัดหน้าใหม่ แอนเดอร์สัน นี่คือตัวละครที่เป็นมนุษย์กลายพันธ์ที่ยังไม่รู้เรื่องกับการพิพากษา ไร้เดียงสา แต่กลับเป็นตัวละครที่สามารถพัฒนาไปได้เยอะมากเมื่อดูจากเมื่อเริ่มต้นเรื่อง ซึ่งก็เปรียบเสมือนตัวละครที่มีปัญหาแทนตัวละครอย่างเดร็ดนั้นเอง และหากมองกันในอีกมุมนึงก็เปรียบเสมือนคนดูที่ไม่เคยอ่าน Judge Dredd เลยไม่รู้เรื่องราวของโลกของ Judge Dredd มากนัก ทำให้เรารู้เรื่องราวความเป็นไปของเนื้อเรื่องและตัวละคร


และ Dredd ยังนำเสนอประเด็นและมุมมองที่มีต่อสังคมด้วย ประเด็นแรกที่หนังนำเสนอก็คือยาเสพติด ที่ในหนังนำเสนอกลึ่มตัวร้ายก็คือเจ้าแม่ผู้คุมการค้ายา แต่สำหรับยาเสพติดนี้มันพิเศษตรงที่ทำให้คนเสพนึกว่าเวลาผ่านไปแค่ 1% ของเวลาจริง อันนี้ขอข้ามไปเลยเพราะประเด็นเรื่องราวกับยาเสพติดเพราะเรื่องราวเราก็รู้กันอยู่แล้วตามหน้าหนังสือพิมพ์ไม่ต้องบอกเล่าอะไรให้มากความ แต่สำหรับประเด็นที่หนังสอดแทรกเขามาจะเกี่ยวข้องกับ ความยุติธรรมของตำรวจ ดังที่เห็นหนังเรื่องเราจะเห็นได้ว่ามีกลุ่มจัดจ์กลุ่มนึงเขามาเพื่อที่จะจัดการเดร็ดเพื่อแลกกับเงิน ซึ่งตรงนี้หนังนำเสนอเกี่ยวกับมุมมองตำรวจดี-ตำรวจเลว ที่สังคมมันเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นหนังจึงเป็นหนังที่นำเสนอมุมมองที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคม เป็นหนังที่วิจารณ์สังคมได้ดี หากมองในมุมมองที่ดีๆ หนังสอดแทรกอะไรไว้เยอะมาก

นอกจากนี้ในหนังยังมีมุกตลกที่กัดแล้วเจ็บอยู่เยอะ ที่หนังไม่ได้เล่นให้ขำแต่บางทีมันรู้สึกขำ แต่ผ่านไปซักแปปมันกลับรู้สึกเจ็บขึ้นมา แต่เป็นมุกอย่างไรต้องเขาไปหาในเรื่องเอาเอง, ฉากแอ็คชั่นในหนังเป็นอะไรที่โหดมากมายก็สมแล้วที่หนังเล่นคว้าเรท R (ในไทย 18+) มาครอบครองไว้ในมือ มีฉากต่างที่โหดมากมาย เลือดเป็นเลือด เห็นสมอง เห็นคนตายเลือดท่วม ที่ทำออกมาเอาใจแฟนๆ และทำให้แฟนๆ สะใจไปไม่มากก็น้อย มีมุมกล้องที่ถือว่าล้ำมากๆ นอกจากนี้เอฟเฟกต์ในหนังยังทำออกมาได้เนียน และฉากที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของหนังก็คือฉากสโลโมที่หนังเน้นมากๆ และการที่เน้นมากๆ ก็ถือว่าคุ้มค่าเพราะฉากสโลโม ทำออกมาได้สวยงามมากๆ ครับ แต่ผมดูระบบปกตินะ แต่ดูแล้ว 3มิติ งานนี้คงไม่จำเป็น


สำหรับการแสดงของ คาร์ล เออร์แบน ที่ในหนังยอมใส่หมวกและเห็นแค่ปากทั้งเรื่อง คุณพี่สอบผ่านในบทนิ่งๆ ตามสไตล์ถนัดของพี่เขา แต่คนที่ขโมยซีนและโดดเด่นที่สุดในหนังก็คือ โอลิเวียร์ เทียร์บี้ ในบทตุลาการแอนเดอร์ซัน เธอโดดเด่นมากมายในเรื่อง แย่งความสนใจทุกครั้งที่มีเธออยู่ในฉาก ถือเป็นความเซอร์ไพรซ์เล็กที่หนังให้คนดู เพราะการที่เธอไม่ได้ใส่หมวกในหนังทำให้เธอโชว์ความน่ารักได้เต็มที่, การกำกับของ พีท ทราวิส ทำออกมาได้ดีมากๆ ครับ เขาสามารถคุมทุกอย่างในหนังได้อยู่หมัด และใช้ทรัพยากรทุกอย่างในหนังได้คุ้มค่าทั้งฉาก แสง สี เสียง เลือด นักแสดง เอาอยู่กับการกำกับมาก นอกจากนี้เพลงประกอบของหนังก็ล้ำมากๆ ท่าเอามาเปิดในคลับท่าจะดี

สรุป
DREDD 3D คืองานแอ็คชั่นเอาใจคอหนังแอ็คชั่น ที่ต้องการความมันส์แบบสะใจ อยากเห็นเลือดก็ได้เห็น นอกจากนี้ยังมีฉากล้ำเหนือจินตนาการมากมาย นักแสดงเล่นได้ดีเซอร์ไพรซ์มาก และหนังยังมีอะไรให้เล่นอีกมากมายในภาค 2 ดังนั้นรอชมภาค 2 กันแน่นอน”


ความยาวทั้งหมด 95 นาที
คะแนน 8/10
------------------------------------------------------------------
ใครที่ชอบอัพเดทข่าวสารวงการหนังขออนุญาติฝากแฟนเพจ KURENAI MOVIE ไว้ด้วยนะครับ มาอัพเดทข่าวสาร หรือ พูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ แบบมีสาระบ้างไม่มีสาระบ้าง อัพเดทแบบไม่ให้ตกข่าวกันเลยครับ อย่าลืมมากด Like กันนะครับ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger