วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

GAMBIT


GAMBIT / บิดเหลี่ยมตุ๋นวุ่นดับเบิ้ล


ผู้จัดจำหน่าย : MOMENTUM PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : CRIME SCENE PICTURES, MICHAEL LOBELL PRODUCTIONS
ผู้กำกับ : ไมเคิล ฮอฟฟ์แมน (ONE FINE DAY, THE LAST STATION)
ประเภทของหนัง : COMEDY | CRIME

บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
“เนื้อเรื่องอาจไม่มีอะไรโดดเด่นและให้พูดถึงซักเท่าไร,
 แต่ขอบอกว่า มุขตลกและนักแสดงนี่ต้องคุยซักหน่อยล่ะ”


ขอบอกว่า GAMBIT ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงมนุษย์กลายพันธ์ที่ใช้ไพ่เป็นอาวุธในซีรี่ย์ X-Men ที่เคยปรากฏตัวใน X-Men Origins: Wolverine ที่รับบทโดย เทย์เลอร์ คิทช์ หรอกน่ะ แต่ GAMBIT ในที่นี้คือหนังคอเมดี้สุดฮิตเมื่อปี 1966 ซึ่งดาราที่รับบทนำในหนังเมื่อตอนนั้นคือ ไมเคิล เคน หรือ พ่อบ้านอัลเฟร็ด ในซีรี่ย์ The Dark Knight Trilogy ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน, ด้วยความฮิตเมื่อปี 1966 จึงไม่แปลกใจเลยหากวันเวลาผ่านไปหลายปีหนังจะถูกนำมารีเม็ค! ตามยุคสมัยและแน่นอน GAMBIT ก็ถูกหวยเข้าจนได้!! แต่การถูกหวยครั้งนี้ได้ โคลิน เฟิร์ธ, อลัน ริคแมน, คาเมรอน ดิแอซ มารับบทนำทั้งสามของเรื่อง! และเหมือนหนังฉบับนี้นอกเหนือจากได้นักแสดงขั้นเทพมาแสดงแล้ว ยังได้ อีธาน โคเอน และ โจเอล โคเอน หรือที่รู้จักกันในนาม "พี่น้องโคเอน" มาทำหน้าที่เป็นผู้เขียนบทด้วยนั่นเอง พร้อมกันนี้ยังได้ ไมเคิล ฮอฟฟ์แมน มารับหน้าที่ผู้กำกับของหนังอีกด้วย!!... "GAMBIT"

หนังว่าด้วยประเด็นถึงการทำให้ชีวิตปล่อยวางและการหาคุณค่าในตัวเอง แต่หนังยังหาประเด็นที่มีน้ำหนักและหนักแน่นพอไม่ได้แถมยังพยายามต่อยหน้าคนดูด้วยการที่ปล่อยให้เราคิดว่าตัวละครในหนังมีชีวิตที่ปล่อยวางได้แล้ว แต่หนังหักมุมที่ไม่ได้หักมุมซักเท่าไร (หากเทียบกับการหักมุมของ The Sixth Sense แล้วคงได้ประมาณ 15%) แต่หากไม่มีเรื่องการพยายามหักมุมถือว่าหนังยังแถไปได้จนหนังจบ และหนังยังขาดความต่อเนื่อง ขาดความเป็นธรรมชาติ การพัฒนาของตัวละครที่ไม่ได้มีความแปลกใหม่และความโดดเด่นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งดูแล้วหากไม่เก็ทเรื่องราวของวัฒนธรรมอังกฤษในเรื่องการชาตินิยมก็คงจะถึงเข้าไม่เข้าใจในหลายส่วนเหมือนกัน ซึ่งผิดกับมุขตลกที่หนังสามารถเล่าออกมาได้ดีเป็นอย่างมากและมีสีสันที่น่าจดจำในหลายๆ ส่วน


มุขตลกของหนังที่อยู่ในหนังเรื่องนี้ส่วนมากจะเป็นมุขตลกแบบตัวละครและสถาณการณ์พาไป ที่ในหนังเป็นมุขประเภทอาจจะเข้าใจยากนิดหน่อยในบางทีน่ะครับ ถ้าหากเข้าใจเกี่ยวกับประเทศอังกฤษนิดหน่อยรับรองงานนี้ฮาตรึม ซึ่งมุขแบบสถานการณ์พาไปในที่นี้ก็ประมาณว่า ตัวละครไปเจอสถานที่นี้มีคนไม่รู้จักเข้ามาก่อนที่เรื่องราวจะเกิดเรื่องใหญ่ซึ่งส่วนมากก่อนจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่ต้นเหตุมักมาจากเรื่องไม่เป็นเรื่องก่อนที่จะเกิดเหตุใหญ่โตกันไปซึ่งส่วนมากจะมีตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนเรื่องใหญ่

ซึ่งหนังสามารถเอาคนดูตรงนี้ได้อยู่หมัด ไม่ผิดฟอร์ม (ในเรื่องตลก) ของพี่น้องโคเอนครับ โดยเฉพาะสถาณการณ์ในช่วงกลางเรื่องนี่คืออะไรที่สุดยอดเป็นอย่างมาก เป็นมุขแบบสถานการณ์พาไปที่เอาอยู่แบบ 10/10 จริงๆ เชื่อว่าคนที่ได้ดูประมาณ 80% ก็คงรู้สึกแบบเดียวกันอย่างแน่นอนครับ ซึ่งโดยรวมแล้วหากไม่นับตั้งแต่ตั้งแต่ต้นฉากกลางเรื่องนี่คือส่วนที่พีคที่สุดของเรื่องจริงๆ ส่วนฉากที่เหลือก็ได้ซัก 50-60% ของฉากกลางเรื่องครับ แต่ก็ยังพอขำได้อยู่พอประมาณครับ


โคลิน เฟิร์ธ, คาเมรอน ดิแอซ และ อลัน ริคแมน เล่นดีไม่ผิดฟอร์มในบท แฮร์รี่ ดีน, พี.เจ. พุซนอฟสกี้ และ ไลโอเนล ชาร์บันดาร์ ตามลำดับ แต่ที่โผล่มาขโมยซีนจริงๆ คงไม่พ้น สแตนลี่ย์ ทุชชี่ ในบท มาร์ติน ไซเดนเวเบอร์ ที่โผล่มา 3 ฉากแต่น่าจดจำมากกว่าตัวการเรื่องซะอีก และที่มาขโมยซีนเป็นหมู่คณะคงไม่พ้นแก๊งค์นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นที่เด่นที่สุดคงไม่พ้น ซาดาโอะ อูเอดะ ในบท ชัค ที่มาเพื่อแย่งซีนของจริงและตัวจริง, ไมเคิล ฮอฟฟ์แมน ทำหนังออกมาได้ดีพอประมาณแต่ก็ไม่ได้น่าจดจำอะไรมากนักหากไม่มีเรื่องมุขตลกของพี่น้องโคเอนและทีมนักแสดงหนังคงไม่มีอะไรให้จดจำซักเท่าไรนักแต่โดยรวมแล้ว "หนังก็เหมาะดูฆ่าเวลาและดูได้เพลินๆ" ครับทุกท่าน...


ความยาวทั้งหมด 89 นาที
คะแนน 6.5/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger