วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

MAN OF STEEL


MAN OF STEEL / บุรุษเหล็ก ซูเปอร์แมน


ผู้จัดจำหน่าย : WARNER BROS. PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : LEGENDARY PICTURES, DC ENTERTAINMENT, SYNCOPY
ผู้กำกับ : แซ็ค ซไนเดอร์ (300, WATCHMEN)
ประเภทของหนัง : ACTION | ADVENTURE | FANTASY

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
“7 ปีที่หายไปกลับมาอย่างยิ่งใหญ่,
อลังการงานสร้าง และ โคตรมันส์ จุดเริ่มต้น JUSTICE LEAGUE!!”


เกือบ 7 ปีนับจาก SUPERMAN RETURNS เมื่อปี 2006 ออกฉายแม้ว่าหนังจะประสบความสำเร็จในด้านคำวิจารณ์แต่หนังกลับไม่ประสบความสำเร็จในด้านรายรับ คงเพราะสิ่งที่เรียกว่า "คำสาปซูเปอร์แมน" ที่หลังจากจบการแสดงของ จอร์จ รีฟ และ คริสโตเฟอร์ รีฟ บุตรชายคนสุดท้ายของดาวคริปตันก็ไม่ประสบความสำเร็จอีกเลยนับจากนั้นไม่เว้นแม้แต่ชายที่เกิดมาเพื่อรับบทเป็น คลาร์ก เคนท์ (ไบรอัน ซิงเกอร์ กล่าวไว้อย่างนั้น) อย่าง แบรนดอน เราท์ ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ตลอดช่วงระยะเวลาหลายปีมานี้มีเพียง ทอม เวลลิ่ง ใน SMALLVILLE เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จเท่านั้นแต่นั้นดันเป็นทีวีซีรี่ย์ปล่อยให้ทางฝั่งแบทแมนของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ประสบความสำเร็จอยู่ฝ่ายเดียว

ทำให้ บุรุษแห่งความหวังหายหน้าไปจากจอภาพยนตร์เกือบ 7 ปี!! แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อทางฝั่งมาร์เวลเริ่มต้นเดินหน้าโปรเจ็คต์ MARVEL'S THE AVENGERS ทางฝั่ง DC COMICS ก็อยากเห็นทีม JUSTICE LEAGUE OF AMERICA โลดแล่นบนจอบ้างเลยจับเอา คริสโตเฟอร์ โนแลน มาเป็นคนปลุกชีพให้กับ ซูเปอร์แมน ในฐานะโปรดิวเซอร์ และดึง แซ็ค ซไนเดอร์ ผู้กำกับหนังสุดเร้าใจอย่าง 300 มาเป็นผู้กำกับ พร้อมดึงนักแสดงโนเนมอย่าง เฮนรี่ คาวิลล์ มารับบท ซูเปอร์แมน พร้อมด้วยทีมนักแสดงคุณภาพอย่าง เอมี่ อดัมส์, ลอร์เลนซ์ ฟิชเบิร์น, เควิน คอสท์เนอร์, ไดแอน เลน, รัสเซลล์ โครว์, แองค์เจ้ เทราเอ้, ไมเคิล แชนน่อน ใน MAN OF STEEL (บุรุษเหล็ก ซูเปอร์แมน)


นี่คือการตีความใหม่ ซูเปอร์แมน ได้อย่างลงตัวโดยที่ไม่ได้ดัดแปลงจาก คอมิคส์ ชุดใดเลย ยกเว้นจุดกำเนิดกับชื่อเรื่องอย่าง MAN OF STEEL ซึ่งการตีความใหม่ในครั้งนี้ทำออกมาได้ดีครับ เล่นกับเรื่องราวที่ว่าโลกพร้อมหรือยังกับการมีซูเปอร์ฮีโร่ที่ทรงพลัง ซึ่งตรงนี้หนังถ่ายทอดได้ดีในช่วงครึ่งหลังของเรื่องแม้ภาพที่ปรากฏบนจอจะเป็นการอัดกันเละเทะแต่หนังก็หยอดใส่ไปที่ละนิดๆ ได้อย่างเนียนมากครับ และนอกจากนี้สิ่งที่เป็นเรื่องราวสำคัญกว่าเรื่องที่ว่าโลกพร้อมหรือยังกับการมีซูเปอร์ฮีโร่ที่มาจากนอกโลก ก็คงเป็นการสำรวจตัวตนของ คาล-เอล หรือ คลาร์ก เคนท์ หรือ ซูเปอร์แมน หนังพยายามสำรวจลงไปในจิตใจของบุรุษเหล็กว่าเป็นมาอย่างไรและทำอย่างไรกับพลัง

หนังพาไปสำรวจได้อย่างดี เล่นกับเรื่องราวที่ คลาร์ก เคนท์ ต้องเก็บเรื่องราวพลังไว้เป็นความลับ เล่นกับปมเรื่องราวในส่วนดราม่าได้ดีมาก เรื่อง คลาร์ก ดูเป็นคนนอกต้องเก็บพลังไว้ ทำตัวให้เหมือนคนเรร่อน ส่วนนี้ทำได้ดีมาก แต่จะดีกว่านี้อีกถ้าหากเน้นเรื่องปมประเด็นเรื่องพ่อโดยเฉพาะเพราะประเด็นนี้จะสำคัญมากในช่วงท้าย แต่หนังกลับไม่ขยี้ปมประเด็นเรื่องพ่อ โดยเฉพาะพ่อบนโลกอย่าง โจนาธาน เคนท์ ถ้าหนังมีเวลาเพิ่มมากกว่านี้เชื่อว่าช่วงท้ายจะทรงพลังมากกว่านี้แน่นอน แต่หากเอาจริงๆ มีเวลาแค่นี้แต่ทำได้ขนาดนี้ก็ขอชื่นชมละครับ ยิ่งเป็นหนังเรื่องแรกในการกำเนิดใหม่แต่ทำได้ขนาดนี้ก็ควรชื่นชมคนเขียนบทอย่าง เดวิด เอส โกเยอร์ ที่สรรค์สร้างบทออกมาได้ดี แม้จะมีตกหล่นนิดหน่อยเรื่องพ่อก็ตามที


การตีความ บุรุษเหล็ก ในฉบับนี้ขอบอกว่า เป็นการตีความใหม่หมดจดและไม่ได้ตีความใหม่แค่ตัวบุรุษเหล็กเพียงคนเดียวแต่เป็นการตีความใหม่หมดเกือบจะทุกตัวละคร ซูเปอร์แมน ในฉบับนี้หนังตีความออกมาได้ดี ไม่ได้ตีความออกมาเป็นคนธรรมดาดูธรรมดาซะทุกอย่างแต่ตีความให้ คลาร์ก เคนท์ เป็นคนมีปัญหาชีวิต ปมเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต พบเจอปัญหามาแต่เด็ก เก็บพลังไว้เป็นความลับ หนังฉบับนี้ตีความใหม่ออกมาได้อย่างลงตัว พอได้เป็น ซูเปอร์แมน ก็โดนมองว่าเป็นคนนอกอีก พอได้รับการยอมรับก็ต้องเลือกอีกว่าจะทำอย่างไรกับชีวิต จะช่วยคนหรือจัดการศัตรู ซึ่งหนังนำเสนอได้อย่างมีชั้นเชิงครับ ส่วนนี้หนังทำได้ดีมาก ซึ่งการตีความใหม่ครั้งนี้หากนับว่าคือจุดเริ่มต้นสู่ JUSTICE LEAGUE อย่างน้อยก็มาถูกทางแล้ว

แถมการตีความที่รู้สึกว่าแตกต่างจริงๆ คือการที่ในฉบับนี้มี หลายๆ ตัวละครรู้จักตัวจริงของ ซูเปอร์แมน เอาแค่คนในเมืองบ้านไร่ สมอลล์วิลล์ ก็รู้แทบทั้งเมืองแล้ว ในจะบาทหลวง ไหนจะหน่วยทหารที่รู้ตัวจริงของซูเปอร์แมน หรือแม้แต่กลุ่ม เพื่อน? ในวัยเด็กของ เคนท์ ก็ดูจะรู้ตัวจริงๆ อีก นี่ขนาดไม่นับ เล็กซ์ ลูเธอร์ อีกแม่ในภาคนี้ เล็กซ์ จะไม่ปรากฏตัวแต่ก็เชื่อได้ว่ารู้ตัวจริงอีก ไหนจะ ลาน่า แลงก์ อีก จะเห็นได้ว่าในฉบับนี้สร้างออกมาได้แตกต่างจากทุกฉบับเป็นการตีความใหม่ที่แตกต่างคล้ายๆ THE AMAZING SPIDER-MAN จะต่างก็ตรงที่อันนั้นเล่นกับเรื่องราวซะเป็นส่วนใหญ่ผิดกับ MAN OF STEEL ที่ในช่วงท้ายเน้นไปที่อัด เมโทรโปลิส ให้เละ


ไหนจะการตีความใหม่ โลอิส เลน ในฉบับนี้ถือว่าหนังตีความออกมาได้ดีกว่าทุกฉบับ ตีความ โลอิส ออกมาให้ฉลาดกว่าทุกและรู้ด้วยว่า คลาร์ก เคนท์ กับ ซูเปอร์แมน เป็นคนเดียวกัน ทำให้ส่วนนี้อยากรู้ว่าหนังภาคต่อจะนำพาเรื่องของ ชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้ไปในทิศทางไหนต่อ มันน่าสนใจจริงๆ, เพอร์รี่ ไวท์ ในส่วนนี้หนังไม่ได้ตีความเรื่องราวอะไรใหม่นัก ยังคงเป็น บ.ก. ของ เดลี่ แพลเน็ท เหมือนเดิม ยกเว้นแค่เปลี่ยนจากชายผิวขาวมาเป็นผิวสี และให้ ลอร์เลนซ์ ฟิชเบิร์น มารับบท ซึ่งการเปลี่ยนสีผิวไม่น่าเชื่อกลับกลายเป็นการดีซะอีกเพราะการแสดงของ ฟิชเบิร์น กลับเปล่งรัศมีให้โดดเด่นได้แบบสุดๆ แม้ตัว เพอร์รี่ ไวท์ จะโผล่ไม่เยอะแต่ก็โดดเด่นทุกซีนและทุกฉากที่ปรากฏ

จอร์-เอล การตีความในฉบับนี้ก็แตกต่างกว่าทุกฉบับ ไม่ได้มาน้อยๆ นานๆ ปรากฏ และไม่สำคัญเหมือน มาร์ลอน แบรนโด้ ใน SUPERMAN แต่ฉบับนี้ จอร์-เอล ถึงจะเหมือนฉบับ แบรนโด้ คือมาน้อยๆ แต่กับเป็นว่าการมาน้อยแต่มีส่วนสำคัญในบทสรุปและโดดเด่นมากกว่าทุกฉบับ. โจนาธาน เคนท์ ก็เหมือนกันแม้ในฉบับนี้จะเหมือนทุกฉบับ แต่อย่างน้อย โจนาธาน ก็สำคัญกว่าทุกฉบับมีผลกระทบให้แก่ตัว ซูเปอร์แมน มากกว่าทุกฉบับ รวมถึง มาร์ธ่า เคนท์ ก็สำคัญต่อตัวเนื้อเรื่องและตัวซูเปอร์แมนเหมือนกัน อย่างฉากที่ นายพลซ็อด ขมขู่ มาร์ธ่า ก็จะเห็นได้ว่า ซูเปอร์แมน เดือดจะต้องอัดนายพลซ็อด จะเห็นได้ว่าในฉบับนี้ตัวละครมีส่วนสำคัญต่อเนื้อเรื่องและต่อตัวซูเปอร์แมนแทบทุกตัว


มาถึงตัวละครสำคัญในภาคนี้อย่าง เฟโอร่า และ นายพลซ็อด ทางด้าน เฟโอร่า หนังนำเสนอให้เฟโอร่าทำทุกอย่างเพื่อดาวคริปตัน และทำทุกอย่างตามคำสั่งนายพลซ็อด และตีความให้โหดกว่าทุกฉบับ แต่เหนือสิ่งอื่นได้การตีความ นายพลซ็อด ในฉบับนี้ การตีความในครั้งนี้ไม่ได้ตีความให้ออกมาดูกระโหลกกะลา แต่ตีความนายพลซ็อดให้ออกมาเป็นทหารที่ทำทุกอย่างเพื่อคริปตัน มีความสมจริง แม้การทำทุกอย่างเพื่อคริปตันจะหมายถึงทำลายโลกก็ตาม ฉบับนี้นายพลซ็อดทำให้คนดูเกลียดและหลงรักได้ เอาใจช่วยแต่ก็ไม่เชียร์ให้ทำสำเร็จ ยิ่งช่วงท้ายที่ทุกอย่างจบสิ้นนายพลซ็อดก็ไม่เหลืออะไรแล้วเหลือแค่สู้กับซูเปอร์แมนแบบตรงๆ ตรงนั้นถือว่าทำออกมาได้สุดยอดมากครับ โดยเฉพาะตอนใช้ ฮีทวีชั่น ที่ทำให้รู้สึกถึงความไม่เหลืออะไรของซ็อด

ขอวกกลับมาที่เรื่อง ซูเปอร์แมน กับ โลอิส เลน นิดหนึ่งสิ่งที่แตกต่างและทำให้สงสัยได้คือ พี่ซุป รักกับ โลอิส ตอนไหน?? ทำให้นึกถึง THOR ขึ้นมาว่า ธอร์ รักกับ เจน ตอนไหน? แต่ตรงส่วนนี้ช่างมันอย่างน้อยก็ปูไว้เพื่อเล่นในภาคสอง ฮ่าๆๆ -- ความแตกต่างในฉบับนี้นอกเหนือจากในส่วนตัวละครคงไม่พ้นในส่วนในเรื่องของเครื่องแต่งกายหากจำกันได้ ซูเปอร์แมน ในทุกฉบับก่อนหน้าจะมีกางเกงในสีแดงและชุดจะเป็นชุดผ้าธรรมดาแต่ในฉบับนี้ตัดกางเกงในแดงทิ้งไป และเปลี่ยนชุดจากผ้าธรรมดามาเป็นผ้าสเปนเด็กซ์ แต่ในหนังอธิบายง่ายๆ ว่า เป็นชุดที่ออกแบบมาให้ดาวคริปตัน ซึ่งถือว่าดีนะครับที่ตีความชุดใหม่ของซูเปอร์แมนให้ออกมาดีคือฉบับนี้มีความสมจริงมากกว่าทุกฉบับ


หรือแม้แต่เครื่องแต่งกายของ ชาวดาวคริปตันก็มาในแบบชุดเกราะเลย แถม นายพลซ็อด และลูกสมุนก็ไม่ได้แต่งกายธรรมดาแต่มาแบบเต็มยศ และส่งผลต่อคนดูด้วยว่างานนี้ไม่ได้ลุยกันเล่นแต่เอาจริงเอาตายแน่ ถือว่าส่วนตรงนี้ตีความเรื่องราวชุดได้ดีครับ -- ขอพูดถึงเรื่องฉากแอ็คชั่นบ้างครับ เพราะไม่น่าเชื่อ MAN OF STEEL จะสร้างฉากแอ็คชั่นให้ออกมาเละเทะได้แบบคาดไม่ถึงทั้งฉากใน สมอลล์วิลล์ ที่ทำออกมาได้เละไปครึ่งเมือง!! และ เมโทรโปลิส ยิ่งแล้วใหญ่เละไปเกือบทั้งเมือง!! แถมฉากแอ็คชั่นก็ออกมาได้แบบว่า อะดรีนาลิน สูบฉีกมากครับคือตื้นเต้นและสนุกได้แบบคาดไม่ถึง แถมฉากแอ็คชั่นยาวมากๆ เกือบๆ 40-50 นาทีได้ แถมมาแบบ น็อนสต็อป ทำให้ MAN OF STEEL สอบผ่านในด้านฉากแอ็คชั่น

แซ็ค ซไนเดอร์ สามารถดัดแปลงบทของ เดวิด เอส โกเยอร์ ออกมาได้ดี แต่ แซ็ค เสียอย่างเดียวคือการตัดต่อหนังในช่วงชีวิต คลาร์ก หนังตัดต่อมาแบบข้ามไปข้ามมามากเกินไปแบบว่าอยู่ๆ กำลังเล่าเรื่องนี้และก็ข้ามไปเล่าอีกเรื่อง ถ้าหากไม่ติดอย่างเดียวเรื่องการตัดต่อที่ข้ามไปข้ามมาแม้ว่าหากเอาเรื่องทั้งหมดมาต่อกันจะออกมาดี หากไม่ติดเรื่องนี้ MAN OF STEEL จะดีขึ้นมาก แต่ก็เข้าใจว่านี่มันคือสไตล์ของ แซ็ค แต่หากถามว่า แซ็ค สอบผ่านหรือไม่ คำตอบคือ แซ็ค ซไนเดอร์ สอบผ่านในการรีบู๊ตซูเปอร์แมนในครั้งนี้ และสามารถให้กำเนิดซูเปอร์แมนในยุคใหม่นี้ได้อย่างดี มีเนื้อหาว่าจะเล่นอะไรและเล่าอะไร มีฉากแอ็คชั่นอลังการ และจะส่งให้ แซ็ค ก้าวไปอีกระดับ


หลังจากพักหลังเสียเซลฟ์ไปกับ LEGEND OF THE GUARDIANS: THE OWLS OF GA'HOOLE หรือ SUCKER PUNCH หรืออาจรวมถึง WATCHMEN ด้วยเพราะบางคนก็ชอบบางคนก็ไม่ชอบ และการกำกับของ แซ็ค ในครั้งนี้ ก็ทำให้เรารู้ละว่าคนเดียวที่จะกำกับ JUSTICE LEAGUE OF AMERICA ได้คือ แซ็ค เท่านั้นแต่ก่อนไปตรงนั้นคงต้องไปสานต่อใน MAN OF STEEL II ซะก่อน เพราะการกระทำของซูเปอร์แมนในบทสรุปของนายพลซ็อดถ้าหนังมีโอกาศได้ทำภาคสองก็น่าสนใจที่หนังจะมีเรื่องราวให้สานต่อ หรือแม้แต่อีสเตอร์เอ็กก์อย่าง ลาน่า แลงก์ หรือ บริษัท LEXCORP ที่แซ็คใส่มาแบบเนียนๆ ก็ทำให้เราอยากรู้ว่า บุรุษเหล็กจะเป็นอย่างไรต่อไปในภาคสอง

อีกอย่างที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้เพราะโดดเด่นจริงๆ นั้นก็คือดนตรีประกอบหรือที่เรียกว่า สกอร์ ของ ฮานส์ ซิมเมอร์ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่าง THE DARK KNIGHT RISES กับ MAN OF STEEL สำหรับสกอร์ก็คือ หากสกอร์ของ TDKR ไม่ได้อยู่ในหนังที่จะส่งให้สกอร์ทรงพลังจะกลายเป็นว่า สกอร์ จะหนักออกไปทางหนวกหู แต่สกอร์ของ MAN OF STEEL แม้ไม่ได้อยู่ในหนังก็ยังรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ และทรงพลังและยิ่งมาอยู่ในหนังยิ่งทำให้สกอร์และหนังโดดเด่นมากขึ้นไปอีก นี่ถ้าหากหนังมี 70มม. เต็มจอ ของ IMAX มาช่วยคงจะดีแต่เสียดายงานนี้มันไม่มี -- อีกอย่างที่เป็นข้อเสียคือ 3มิติของหนังครับทำให้เรานึกถึงหนังมาร์เวลที่ว่ามี 3มิติไปก็ไม่ช่วยอะไรให้หนังเด่นขึ้นเท่าไรนอกจากเก็บเงินเพิ่มเท่านั้น


มาถึงส่วนสุดท้ายที่เราจะพูดถึงกันนั้นก็คือการแสดง!! การแสดงของซูเปอร์แมน อย่าง เฮนรี่ คาวิลล์ สอบผ่านในบท คลาร์ก เคนท์ และ ซูเปอร์แมน มีความโดดเด่นไม่ว่าจะในฐานะ คลาร์ก เคนท์ หรือ ซูเปอร์แมน เฮนรี่ คาวิลล์ เข้าถึงอารมณ์และบทบาทของตัวเองได้ดี แสดงออกทางสีหน้าเวลาโมโหหรือคิดอะไร หรือสะใจ ทำได้ดีครับ ยิ่งฉากที่ต้องใส่ชุด ซูเปอร์แมน ขอบอกว่า เขาเนี่ยล่ะ ซูเปอร์แมน, เอมี่ อดัมส์ สวยและโดดเด่นในทุกฉากกับบท นักข่าวมือหนึ่งของเดลี่ แพลเน็ท โลอิส เลน เอมี่ แสดงได้ดีมากๆ ไม่เสียชื่อ, เควิน คอสต์เนอร์ ในบท โจนาธาน เคนท์ มาน้อยๆ ได้เยอะ เหมือน รัสเซลล์ โครว์ ในบท จอร์-เอล โผล่มาไม่เยอะแต่สำคัญ

ลอร์เลนซ์ ฟิชเบิร์น เราพูดถึงไปแล้วแต่หากให้พูดอีกคือโดดเด่นแทบทุกฉาก แองค์เจ้ เทราเอ้ สวยดุและโหดในบท เฟโอร่า ทั้งดุดันและทรงพลัง แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ ไมเคิล แชนน่อน ที่ตีบทแตกในบท นายพลซ็อด เล่นได้เข้าถึงอารมณ์ทั้งโหดเหี้ยมหรือการกระทำทุกอย่างเพื่อดาวคริปตัน ยิ่งฉากท้าย แชนน่อน ตีบทแตกกระจุย เล่นดีจนขอคารวะ ทรงพลังเป็นอย่างมาก (เหมือน เบเนดิคท์ คัมเบอร์แบทช์ ใน STAR TREK INTO DARKNESS) และเหนือสิ่งอื่นได้ หากปีหน้าเห็น ไมเคิล แชนน่อน ได้ชิงออสการ์สมทบชายเราจะไม่แปลกใจ แต่หากพูดถึงโดยรวม ทีมนักแสดงจาก MAN OF STEEL ไม่ทำให้ผิดหวังครับเล่นดีทุกคน -- นี่คือทั้งหมดที่หยิบยกมาพูดในการรีวิว MAN OF STEEL ครับ!...

สรุป
“MAN OF STEEL อาจจะตกหล่นในเรื่องการตัดต่อกับประเด็นนิดหน่อยเรื่องพ่อ แต่โดยรวมหนังก็เป็นหนังที่เนื้อเรื่องดีและสนุกอีกเรื่องในปีนี้ มีฉากแอ็คชั่นที่ยิ่งใหญ่มโหฬาร มีสกอร์ขั้นเทพ และทีมนักแสดงชั้นเยี่ยม และหากจะพูดว่านี่คือ ปฐมบท JUSTICE LEAGUE OF AMERICA แล้วล่ะก็ใช่เลย! แต่ก็ควรไปปูเรื่องต่อใน MAN OF STEEL II ซะก่อนเหมือนทางฝั่ง มาร์เวล! แต่โดยรวมก็เป็น 7 ปีที่คุ้มค่ากับการรอคอย”


ความยาวทั้งหมด 143 นาที
คะแนน 9/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger