วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

THE AMAZING SPIDER-MAN


THE AMAZING SPIDER-MAN / ดิ อะเมซิ่ง สไปเดอร์แมน


(30/06/2012) - 190 BATH (3D)

ผู้จัดจำหน่าย : SONY PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : COLUMBIA PICTURES, MARVEL STUDIOS
ผู้กำกับ : มาร์ค เว๊บบ์ ((500) DAYS OF SUMMER)
ประเภทของหนัง : ACTION | ADVENTURE | FANTASY

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอัธรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
“กำเนิดใหม่ SPIDER-MAN ไฉไล เลิศเล่อ เพอร์เฟกต์ มัน THE AMAZING มาก, ความลับถูกเรื่องล้วนมีราคา ไม่ได้มาฟรีๆ ซักวันก็จะต้องจ่าย”


เชื่อว่าทุกคนคงเคยดู SPIDER-MAN ฉบับแซม ไรมี่ ทั้ง 3 ภาคก่อนหน้ามาอย่างแน่นอน และคงสงสัยว่าทำไม? หนังไอ้แมงมุมถึงต้องมีการรีบู๊ตกันใหม่ทั้งที่นับจากภาคแรกก็ยังไม่ถึง 10 ปี (ในวันที่ประกาศโปรเจ๊คต์ THE AMAZING SPIDER-MAN) ซึ่งการรีบู๊ตในครั้งนี้ก็เพื่อดำเนินเรื่องให้ตรงกับตัวหนังสือการ์ตูนนั้นเอง เพราะในเวอร์ชั่นของ แซม ไรมี่ จริงๆ แล้วแบบว่าๆ เป็นการแหกกฏการเป็นสไปดี้กันแบบสุดๆ เลย เพราะในหนังสือการ์ตูนจริงๆ นั้น สไปดี้ของเราใช้เครื่องพ่นใยนะ แถมในฉบับแซม ไรมี่ ก็จริงๆ แล้วตัวหนัง (ในความคิดของผม) 


ไม่มีความสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว โทบี้ แม็คไกว์ ก็ดูไม่เหมาะเป็น ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ เลยซักนิด แถมหนังยังทำออกมาเป็นหนังรักน้ำเน่าผิดไปจากความมืดมนในหนังสือการ์ตูน ทุกอย่างในหนังดูสดใสไปหมด แถมตัวสไปดี้ก็ไม่มีความกวนบาทาเลยซักนิดเดียว แถมภาค 3 ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกันเลย ทำให้ผมคิดว่า โซนี่ คงคิดอะไรได้จึงมีการรีบู๊ตสไปดี้ของพวกเรากันซะเลย ซึ่งเมื่อดูจากการรีบู๊ตสไปดี้ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นคำตอบที่ถูกที่สุดของโซนี่เลยทีเดียวครับ


THE AMAZING SPIDER-MAN คือเรื่องราวของ เด็กหนุ่มที่กำพร้าพ่อและแม่ ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ เลยต้องมาอาศัยอยู่กับลุงและป้าของเขาลุงเบ็นและป้าเมย์ ซึ่งชีวิตของเขาก็เหมือนกับวัยรุ่นทั่วไป ใช้ชีวิตเรียนปกติ แต่วันนึงเขาได้เจอเอกสารของพ่อเขา ทำให้เขาได้รู้เรื่องราวของพ่อของเขา ทำให้เขาได้ไปยังบริษัทที่พ่อเขาเคยทำ ซึ่งการไปที่นั้นก็ทำให้เขาถูกแมงมุมกัด และนั้นก็เป็นจุดเริ่มของการเป็นฮีโร่นามว่า สไปเดอร์แมน


THE AMAZING SPIDER-MAN ในปี 2012 เป็นการสร้างออกมาเพื่อลบความทรงจำที่มีต่อ SPIDER-MAN ของแซม ไรมี่ ออกไปอย่างหมดสิ้นครับ เพราะตัวหนัง THE AMAZING SPIDER-MAN ทำออกมาได้อย่างสุดยอดมากๆ ด้วยเนื้อหาที่เป็นการตีความสไปเดอร์แมนให้ออกมาเหมือนกับตัวหนังสือการ์ตูนได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีชีวิตชีวาบนแผ่นฟิลม์ทั้งยามที่เป็นปีเตอร์ ปาร์เกอร์ และ ยามสวมชุดเป็นสไปเดอร์แมน ซึ่งมีความลงตัวแบบพอดี ทั้งมุกตลกที่มาแบบยอดเยี่ยมและสร้างสรรค์ และอารมณ์ในตัวดราม่าก็อยู่ในเกณฑ์กำลังดี แต่เนื้อเรื่องก็ไม่ซับซ้อนอะไรมากมาย และเมื่อเจอกับการตัดต่อที่ดูฉับไว และมุมกล้องที่แปลกใหม่ก็ถือว่าเป็นการ เปิดมิติใหม่ให้กับตัวสไปดี้ของพวกเราได้สุดยอดมากเลยครับ


ซึ่งตัวหนัง THE AMAZING SPIDER-MAN ก็ดำเนินเรื่องได้ดีกว่าตัวฉบับแซม ไรมี่อยู่เยอะครับ เพราะ AMAZING ตัวปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ยังเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยม ทำให้เอาตัวละครอย่าง เกว็น สเตซี่เข้ามาเพื่อให้ตัวเกว็นเป็นจุดดำเนินเรื่องเพื่อให้ไปปีเตอร์กับเกว็นรักกันแบบรักแรกพบ (ก่อนที่จะพบกับโศกนาฏกรรมในภาคต่อๆ ไปอย่างแน่นอน) แถมในภาคนี้ก็ใส่ความมืดม่นมาให้กับตัว ปีเตอร์ เป็นอย่างมากเลยครับ และหนังภาคนี้ก็มีการใส่ตัวละครที่ถูกลืมในฉบับไรมี่ อย่าง แฟลช ธอมป์สัน เข้ามามีบทบาทมากกว่าเดิมเยอะมาก (ซึ่งการใส่แฟลชเข้ามาก็เพื่อหวังที่จะดำเนินเรื่องเพื่อเปิดทางไปสู่อีก 1 ตัวละครฮีโร่/ตัวร้าย อย่าง VENOM)


แถมเมื่อหนังดำเนินเรื่องไปจนถึงการเจอกันครั้งแรกของ ปีเตอร์ กับ ดร. เคิร์ท คอร์นเนอร์ และก็จะเป็นจุดที่ทำให้ ปีเตอร์ถูกแมงมุมกัด หลังจากนี้ก็จะเข้าสู่ความสนุกแบบสุดๆ ของหนังครับ ถึงแม้ว่าในส่วนของความสัมพันธ์ ลุง-ป้า-หลาน จะมีฉากไม่เยอะนัก แต่กลับกลายเป็นว่าแต่ละครั้งนั้นก็เป็นการการบาดลึกอารมณ์เป็นที่สุดเลย ถือว่ามาน้อยแต่ได้เยอะครับสำหรับความสัมพันธ์ ลุง-ป้า-หลาน, ด้านความโรแมนติคของหนังภาคนี้ก็จัดได้ว่าอยู่ในความลงตัวอย่างพอดีครับ ไม่ดูหวานแหววจนเกินไปเหมือนฉบับแซม ไรมี่ แถมไม่น้ำเน่าเกินไป อยู่ในอารมณ์หวานแหวนแบบกำลังดี พอดีบพอดี เลยครับ และไม่ขัดกับอารมณ์มืดม่นของหนังภาคนี้ครับ


ซึ่งในส่วนของฉากแอ๊คชั่นถ้าจะบอกว่า ภาคนี้งานด้านแอ๊คชั่นจะมาน้อย แต่เมื่อเทียบกับการปูบทมาของหนังและอารมณ์ร่วมที่มีต่อหนัง ก็ถือว่าภาคนี้เปรียบเป็นมวยก็ แบบ หมัดฮุกหมัดเดียวน๊อกเลย เพราะฉากแอ๊คชั่นนั้นได้น้ำได้เนื้อเป็นอย่างมาก ไม่ต้องเยอะไม่ต้องออกนอกเรื่อง พุ่งไปสู่จุดไคลแม็กซ์แบบรวดเดียวจบเลย ซึ่งจากในส่วนตรงนี้และจากที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นส่วนดีๆ มากๆ ของหนัง และหนังภาคนี้ก็ไม่มีส่วนที่ด้อยเลย เพราะถือว่าทุกอย่างโอเค ลงตัวแบบที่หนังกำเนิดฮีโร่ควรจะมี ซึ่งเมื่อเทียบกับการตั้งมาตรฐานของ IRON MAN ไว้ THE AMAZING SPIDER-MAN ไปถึงส่วนที่ IRON MAN ทำไว้ครับ ไม่เหมือนกับ GREEN LANTERN ที่แป๊กสนิทเลย และสำหรับ THE AMAZING SPIDER-MAN ฉากที่ผมชอบที่สุดคือฉากที่เหล่าคนงานขยับรถเครนมาให้ไปดี้ห้อยโหนครับ ฉากนี้ขนลุกมากๆ


ด้านตัวนักแสดง ผมขอชื่อชมกับ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ คนๆ เป็นคนที่เกิดมาเพื่อรับบทเป็น ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ / สไปเดอร์แมน อย่างแท้จริง ทั้งรูปร่าง ความหล่อเหลา และการแสดงของเขาที่เล่นเป็นเด็กนิสัยแปลกๆ ประหลาด จิตตก หวอกแหวกตลอดเวลา ได้อย่างดี (ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ภาคนี้ต้องเรียกว่าเป็นแบบนี้ครับ ไม่ได้เป็นเด็กเนิร์ดแบบฉบับ โทบี้ แม็คไกว์) และมีเคมีที่ลงตัวกับ เอมม่า สโตน เป็นอย่างมาก เพราะ เอมม่า สโตน ก็รับบทเป็น เกว็น สเตซี่ ได้อย่างสมบูรณ์แบบอย่างคาดไม่ถึง เพราะทั้งคู่เป็นแฟนกันในชีวิตจริง (เกี่ยวกันไหมเนี่ย ?), และสิ่งที่เป็นการขโมยซีนมากที่สุดของหนังก็คงจะไม่พ้นการปรากฏตัวของ สแตน ลี อย่างแน่นอน


การกำกับของ มาร์ค เว๊บบ์ ที่ไม่เคยกำกับหนังฟอร์มยักษ์ แต่เคยกำกับแต่หนังรัก ที่มาจับงานฟอร์มยักษ์ครั้งแรกก็ได้หนังฟอร์มยักษ์ทีเดียว ซึ่งการกำกับครั้งนี้ก็ขอบอกว่า มาร์ค เว๊บบ์ ทำได้ 10/10 เลยเพราะกับการเล่าเรื่องแบบฉับไว และเนื้อเรื่องที่ลงตัว และกับการใช้เพลงประกอบที่เข้ากับฉากแต่ละฉากเป็นอย่างมากยิ่งช่วงลุงเบนตาย นี่ถือว่ากระชากอารมณ์แบบสุดๆ และบางช่วงก็เล่นอารมณ์หวานแหววได้น่ารัก คลอไปกับเสียงเพลงด้วยอย่างดีครับ และกับการใช้มุมกล้องแบบเกม Shooting ก็ทำออกมาได้แปลกใหม่มาก และในการใช้มุมกล้องแบบนี้เมื่อมาผสานเข้ากับการนำเสนอแบบ 3D ก็เกินคำบรรยาย จนต้องบอกว่า มันสุดยอดมากๆ

*** END CREDIT : บุคคลที่อยู่ในเงามืดขอให้เดา คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก นอร์แมน ออสบอร์น หรือ GREEN GOBLIN แน่ๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับตัวหนัง IRON MAN 3 ที่จะออกฉายปีหน้าด้วย เพราะ SONY ก็ยืนยันแล้วว่า SPIDER-MAN จะได้เข้าืทีม THE AVENGERS แน่นอน... 

สรุป
THE AMAZING SPIDER-MAN เป็นการดำเนินเรื่องโฉมใหม่ ทั้งมุมมองใหม่ และลงลึกมุมมองตัวละคร มืดม่นแบบสุดๆ และแม้แอ๊คชั่นจะมาน้อยแต่ว่าได้เยอะ เพราะงั้น สไปดี้ ภาคนี้ถือว่าเป็นการรีบู๊ตที่ไฉไลอลังการเป็นอย่างมาก ถือเป็นการกำเนิดใหม่อย่างสมบูรณ์ และลบล้างหนังเวอร์ชั่น แซม ไรมี่ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ


ความยาวทั้งหมด 136 นาที
คะแนน 9.5/10
------------------------------------------------------------------
ใครที่ชอบอัพเดทข่าวสารวงการหนังขออนุญาติฝากแฟนเพจ KURENAI MOVIE ไว้ด้วยนะครับ มาอัพเดทข่าวสาร หรือ พูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ แบบมีสาระบ้างไม่มีสาระบ้าง อัพเดทแบบไม่ให้ตกข่าวกันเลยครับ อย่าลืมมากด Like กันนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger