THE DIVERGENT SERIES: INSURGENT / อินเซอร์เจนท์ คนกบฏโลก
ผู้จัดจำหน่าย : SUMMIT ENTERTAINMENT
สตูดิโอผู้สร้าง : RED WAGON ENTERTAINMENT
ผู้กำกับ : โรเบิร์ต ชเวนท์เก้ (FIGHTPLAN, RED, R.I.P.D.)
ประเภทของหนัง : ACTION | ADVENTURE | SCI-FI
“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”
มุมมอง
“คนกบฏโลกที่ดันกบฏต่อความยอดเยี่ยมของหนังสือ?”
เหมือนเคยสนทนากับเพื่อนสนิทในตอนที่ DIVERGENT ออกฉายเมื่อปีที่แล้วว่า ด้วยความยอดเยี่ยมที่ทีมงานทำไว้ในหนังก็ทำให้ ไดเวอร์เจนท์ ฉบับหนังสือกลายเป็นผลงานที่ขึ้นหิ้งขึ้นมาได้ เพราะความเละเทะของตัวหนังภาคแรกที่ดัดแปลงจนเละเทะครับ กอปรกับการที่ภาคสอง "THE DIVERGENT SERIES: INSURGENT" ได้เข้าฉาย! บัดนี้เราก็จะขอมาพูดถึงตัวหนังกันสักหน่อย ซึ่งก็ขอออกตัวไว้ก่อนเลย ณ จุดๆ นี้ว่าผมอ่าน "อินเซอร์เจนท์ ปริศนาสยบโลก" จบครับ -- ซึ่งก็คงมีการเปรียบเทียบระหว่างตัวนิยายและตัวหนังเล็กน้อยครับ เอาล่ะเริ่มต้นกันเลยล่ะกัน
สำหรับตัวนิยาย อินเซอร์เจนท์ นั้นจะขอพูดแบบตรงๆ เลยน่ะครับ คือตัวนิยายนี่พูดได้เลยว่ามันก็เรื่อยๆ เปื่อยๆ ไปตามสเต็ปของมัน พูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าเป็นนิยายที่จัดว่าเกือบๆ จะเป็นนิยายที่น่าเบื่อมาก แต่ข้อดีของนิยาย อินเซอร์เจนท์ คือ การที่นิยายจะแม้จะน่าเบื่อ แต่การเชื่อมโยงนิยายไม่มีพลาดเลยแม้แต่น้อย เล่าไปเรื่อยๆ แต่คุณจะไม่พบว่านิยายเล่าข้ามอะไรไปแม้แต่น้อยเลย ยังดีที่นิยายก็มีบางช่วง (ช่วงท้ายๆ ของท้ายๆ เลย) ที่อยู่ๆ นิยายมันก็จะสนุกจนเรารีบอยากจะรู้บทสรุปทันที (ไม่รู้ว่าเพราะสนุกหรือรีบๆ อยากอ่านให้จบจะได้ไปทำอย่างอื่น) แต่โดยรวมๆ นิยายมันก็งั้นๆ ล่ะ อ่านได้เรื่อยๆ ตามสเต็ปของมันไป
มาที่ตัวหนังกันบ้างน่ะ อันนี้ก็รู้ว่าตัวหนังสือความยาว สามร้อยสี่ร้อยหน้า พอมาเป็นหนังความยาว สองชั่วโมง มันคือเรื่องปวดหัวของทั้งทีมงานและก็คนอ่านหนังสือเพราะหนังมันจะไม่สามารถเก็บรายละเอียดได้หมด ที่นี่ก็อยู่ที่ฝีมือของผู้กำกับและมือเขียนบทแล้วล่ะ และกับ อินเซอร์เจนท์ ก็พบเจอปัญหาในส่วนตรงนี้ไม่ต่างกันแม้แต่น้อย แต่ อินเซอร์เจนท์ กลับทำได้หนักข้อยิ่งกว่าครับ! แทนที่หนังจะดัดแปลงแบบมีชั้นเชิงในการเล่าเรื่อง ไอ้นี่กลับทำออกมาเละเทะมาก! นี่พูดเลย!!
ข้อเสียใหญ่ๆ ของหนังเลยคือการที่หนังมัวแต่สนใจในการดำเนินเรื่องให้ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วครับโดยที่ไม่ได้ใส่ใจในการสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูแม้แต่น้อย เปิดเรื่องมาเหมือนหนังจะอยู่ใน อมิตี้ แต่ไม่เกินห้านาทีก็ไปอยู่ที่คนไร้เผ่า ทั้งที่ในตัวนิยายกว่าจะไปที่คนไร้เผ่าได้ก็หลายบทอยู่ ไอ้ครั่นไปอยู่ที่ แฟคชั่นเลสส์ ก็อยู่ไม่เกิน 10 นาทีก็ไปที่ แคนดอร์ พอมาแคนดอร์นี่ก็ไม่เกิน 15 นาที ทั้งที่ในความเป็นจริงตัวนิยายกว่าจะดำเนินเรื่องมาถึงจุดนี้ก็กินเวลาไปเกือบๆ จะครึ่งเล่มได้ แต่หนังกลับเล่าเสร็จได้โดยใช้เวลาแค่ 1 ส่วน 4 เท่านั้น! แถมรายละเอียดนี่โดนลืมไปเพียบ (ภาคแรกก็เป็น)
และอีก 3 ใน 4 ที่เหลือนี่หมดไปกับอะไร หนังเสียเวลาไปกับอะไรที่ไม่ปรากฎในหนังสือครับ คือตอนนั่งดูนี่ถึงกับอะไรว่ะ ไอ้ก่อนนั้นมันอะไรในหนังสือมันเป็นแฟลชไดรฟ์นี่ และไอ้พยายามปลดล็อคนี่คืออะไร? แถมไอ้การดำเนินเรื่องเร็วสุดขั่วนี้คืออะไร ไม่สนใจจะสร้างอารมณ์ร่วมระหว่างคนดูกับหนังสักหน่อยงั้นเหรอพี่? ท้ายที่สุดก็อยากจะบอกว่า "ดูไม่รู้เรื่อง" ครับ ขอโทษด้วย แถมก็ไม่รู้ว่ากลัวหนังไปไม่รอดหรือเปล่าหนังจบแบบสวยงามซะงั้น ทั้งๆ ที่นิยายก็จบได้น่าสนใจดี (เดี๋ยวเพลอสปอยล์แต่บอกได้ว่าจบได้เหวอแดกมาก จบแบบอยากอ่านเล่มต่อไป)
อีกหนึ่งจุดที่หนังทำพังก็คือบทบาทของตัวละครครับ ในนิยายอาจจะไม่ได้ดีอะไรนัก แต่มันก็เกลี่ยบทให้เท่าเทียมได้ (อันนี้ไม่ได้นับ ทริซ กับ โฟร์ ที่ต้องมีบทเด่นอยู่แล้ว) แต่ในหนังสามารถทำให้ตัวละครหลายตัวกลายเป็นอากาศได้ไม่ยาก ยกตัวอย่างเช่น ปีเตอร์ ของ พี่ไมลส์ เทลเลอร์ ในนิยายนี่ถือเป็นตัวพลิกเรื่องก็ว่าได้ แต่ในหนังตัวประกอบชัดๆ ถ้าไม่ได้สนใจก็แทบจะลืม, เคเล็บ (แอนเซล เอลกอร์ท) นี่ก็ตัวพลิกเรื่องและหักมุมมาก ในหนังอ่อ ตัวประกอบ นี่เอง, มาร์คัส พ่อของ โฟร์ ในหนังสือมีบทเด่นอยู่ ในหนัง โผล่ได้ 1 นาที, โจแฮนน่า ผู้นำเผ่าอมิตี้ รับบทโดยเจ้าของหนึ่งออสการ์ ออคเทเวีย สเปนเซอร์ มีบทไม่เกิน 3 นาที..!! สุดท้าย เอริค ของ ไจ คอร์ธนี่ย์ ตัวละครที่เด่นที่สุดในภาคแรก หายไปกับหนังตั้งแต่เริ่มเรื่อง บทบาทตัวประกอบสุดๆ
นับกันเล่นๆ ถือว่าหนังมีข้อเสียจุดเสียเยอะมากๆ ทั้งที่ถ้าเอาดีๆ หนังสามารถจะทำได้ดีกว่าหนังสือได้ แก้ข้อผิดพลาดที่ภาคแรกทำไว้ได้ แต่ไอ้นี่อะไรกลับทำให้แย่กว่าที่ภาคแรกทำไว้แย่กว่าซ่ะอีกทั้งที่ได้ บทหนังของ อากิว่า โกลด์แมน, ไบรอัน ดัฟฟิลด์ และ มาร์ค บอมแบ็ค ถือเป็นจุดผิดพลาดมาก ถึงจะได้ โรเบิร์ต ชเวนท์เก้ มาก็ไม่ช่วยอะไร ถ้าถามว่าอะไรที่ดีที่สุดของหนังก็ต้องบอกว่า นาโอมิ วัตต์ ไว้ผมทรงนี้สวยดีน่ะ -- และสุดท้ายหนัง อินเซอร์เจนท์ ก็ส่งให้นิยายให้กลายเป็นงานมาสเตอร์พีซซ่ะงั้นครับ...
ความยาวทั้งหมด 119 นาที
คะแนน 5/10
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น