วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559

CAPTAIN AMERICA: CIVIL WAR


CAPTAIN AMERICA: CIVIL WAR / กัปตัน อเมริกา: ศึกฮีโร่ระห่ำโลก


ผู้จัดจำหน่าย : WALT DISNEY STUDIOS MOTION PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : MARVEL STUDIOS
ผู้กำกับ : โจ รุซโซ่ และ แอนโธนี่ รุซโซ่ (CAPTAIN AMERICA: THE WINTER SOLDIER)
ประเภทของหนัง : ACTION | ADVENTURE | THRILLER

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
“ปฐมบทแห่งเฟส 3 ที่มุ่งสู่จุดจบของทีม อเวนเจอร์ส”


จาก ยุคสมัยแห่งอัลตรอน ที่เหล่า อเวนเจอร์ส ต้องต่อสู้โดยมีการปกป้องโลกนี้เป็นเดิมพันใน AGE OF ULTRON สู่ สงครามกลางเมือง ที่ผู้ปกป้องอย่างทีม อเวนเจอร์ส นำโดย กัปตันอเมริกา และ ไออ้อนแมน ที่ต่างต้องมาแตกคอกันเองและหันหน้าเข้าห้ำหันและหันมาต่อสู้กันเองอย่างเอาเป็นเอาตาย กับหนังที่เป็นการเปิดเฟสที่สามของ มาร์เวล ที่ในตอนจบของหนังเรื่องนี้นั้นจะพลิกโฉมและเปลี่ยนแปลง จักรวาลภาพยนตร์ของ มาร์เวล ไปตลอดกาล... ‘CAPTAIN AMERICA: CIVIL WAR’ !!!

จะว่าก็ว่าเถอะเอาจริงๆ แล้ว CIVIL WAR เนี่ยเนื้อหาภาพรวมของหนังมันดูจะยิ่งใหญ่และไปได้ไกลกว่าทางด้านของ AVENGERS และ AGE OF ULTRON มากพอตัวเลยทีเดียว ซึ่งเนื้อหาในหนังมันก็ไปไกลสู่ระดับโลกแบบเห็นได้ชัดเลย มีการจับนู่นจับนี่เข้ามาเล่นในเนื้อหา ทั้งการเปิดตัวซูเปอร์ฮีโร่ที่เป็นถึงระดับราชาปกครองประเทศ หรือแม้แต่ ซูเปอร์ฮีโร่วัยรุ่น หรือแม้แต่การนำ สหประชาชาติ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเนื้อหาด้วย เพราะที่ผ่านๆ มานั้นในหนัง มาร์เวล องค์กรระดับชาติที่มักเข้ามาเกี่ยวข้องมักจะวนเวียนอยู่แค่ รัฐบาลอเมริกา ไม่ก็ ชิลด์ (มันก็มีเอยถึงสภาความมั่นคงโลกอยู่ แต่ไม่ได้เข้ามาเอี่ยวเท่าเรื่องนี้) โดยที่มี สนธิสัญญาโซโคเวีย เป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งไอ้สนธิสัญญานี้เป็นสนธิสัญญาควบคุมเหล่าซูเปอร์ฮีโร่


ซึ่งไอ้สนธิสัญญาโซโคเวียนี้มันก็ส่งผลให้เหล่าซูเปอร์ฮีโร่ต้องมาแตกหักกันเอง และกับเส้นเรื่องของ CIVIL WAR จะพูดก็พูดเถอะจะบอกว่ามันเป็นเส้นเรื่องที่ต่อสายตรงมาจากหนังอย่าง THE WINTER SOLDIER และ AGE OF ULTRON นั่นแปลว่าอะไร นั่นแปลว่า CIVIL WAR สามารถพาตัวเองเดินหน้าเดินเรื่องไปได้โดยทันที โดยที่ไม่ต้องปูเรื่องใดๆ แม้แต่นิดไม่ต้องเท้าความปูมหลังของตัวละครอะไรมากนัก ซึ่งพอเป็นอย่างนี้ ก็ขอพูดเลยว่าตัวหนังสนุกมาก! เป็นหนังที่องค์ประกอบครบและสามารถพาตัวเองไปได้ไกลจนสุดทางจริงๆ โดยที่เนื้อหาในหนังเองก็ไม่ได้ดร็อปหรือตกลงเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งที่เนื้อหาก็ออกใหญ่โตแต่กลับเล่าเรื่องไม่สะดุดเลยแม้แต่นิดเดียว 

การเห็นเหล่าซูเปอร์ฮีโร่มาตีกันเอง ตลอดการดูหนังเรื่องนี้จะมีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาเลยว่า ไม่มีฝ่ายใดที่ถูกหรือผิดเลยออกสีเทาด้วยซ้ำ ทั้ง แคป และ โทนี่ และสมาชิกทั้งสองฝ่าย ที่ต่างมีความเชื่อเป็นของตัวเองว่าถูกต้อง แค่เราจะเลือกสนับสนุนและอยู่ฝ่ายใดเท่านั้น แคป ก็ทำเพื่อปกป้อง ด้าน โทนี่ เองก็ทำเพื่อปกป้อง แม้แต่ ทีชัลล่า / แบล็คแพนเธอร์ ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายใดเป็นพิเศษก็ทำเพื่อปกป้อง (และในฐานะกษัตริย์) และตลอดการดูความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือความรู้สึกเห็นใจและหดหู่กับการที่พวกเขาต้องมาต่อสู้กันเอง ... ตัวหนังเองก็ไม่ได้วนเวียนอยู่ที่เรื่องฮีโร่ตีกันเอง แต่หนังก็ยังไม่ลืมที่จะเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของ โทนี่ และ แคป รวมทั้ง แคป และ บัคกี้ และกับหลายๆ ตัวละครเองด้วย หนังแบ่งเนื้อหาได้อย่างลงตัวมาก และน่าติดตามอนาคตต่อจากนี้จริงๆ


เนื้อหาถึงจะใหญ่โต เล่าเรื่องจริงจังไม่ต่างกับ THE WINTER SOLDIER แต่หนังก็กลับสอดแทรกฉากแอ็คชั่นเข้ามาอยู่เป็นระยะๆ นับดีๆ ก็มีอยู่ประมาณ 4-5 ฉากแอ็คชั่นใหญ่ ฉากสุดท้ายนี่ก็ทำได้ใจหายมาก บทสรุปของ โทนี่ และ แคป แต่ที่เป็น ไฮไลท์ จริงๆ ก็ไม่พ้นฉากที่สนามบิน ที่ทีมแคป กับ ทีมไออ้อนแมน ประจัญหน้ากัน เป็นฉากต่อสู้ประมาณสิบนาทีกว่าๆ ที่ทำออกมาได้สุดยอดมาก เป็นฉากแอ็คชั่นที่ดีกว่าฉากช่วงท้ายในนิวยอร์คของ AVENGERS ดีกว่าฉากที่โซโคเวียใน AGE OF ULTRON ดีกว่าฉากใน วอชิงตัน ดีซี ใน THE WINTER SOLDIER ซ่ะอีก ทั้ง 12 คาแรคเตอร์ 12 ตัวละคร มีฉากให้โชว์ให้ปล่อยของกันเต็มๆ โดยเฉพาะ สไปเดอร์แมน และ แอนท์แมน อันนี้ได้เกิดเลย

ทั้ง สไปเดอร์แมน, แบล็คแพนเธอร์ และ แอนท์แมน เป็นตัวละครที่เพิ่งจะมีบทกับ ทีมอเวนเจอร์ส แบบจริงๆ จังๆ ในฉากนั้นที่สนามบินทั้ง สไปดี้ และ มนุษย์มด ได้โชว์ของเต็มๆ (สไปดี้เป็นสไปดี้ที่มาถูกทางมากๆ) แต่ที่เป็น MVP ของเรื่องนี้คือ ทีชัลล่า / แบล็คแพนเธอร์ ซึ่งเป็นผู้ชนะจริงๆ ได้เกิดจริงๆ ในหนังเรื่องนี้ ทุกคนจะต้องร่ำไห้กับจิตใจอันงดงามและดีงามของ ทีชัลล่า อย่างแน่นอน แต่ก็ยังโชว์ความเป็น แบดแอส มากๆ สำหรับ แบล็คแพนเธอร์ ดุดันมากๆ แถม แชดวิค โบสแมน (รวมถึง ทอม ฮอลแลนด์ ในบท สไปดี้ / ปีเตอร์ พาร์คเกอร์) ต่างก็เล่นดีและทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี และการปรากฏตัวของทั้ง สไปเดอร์แมน, แบล็คแพนเธอร์ และ แอนท์แมน ก็ยิ่งปลุกความอยากดูหนัง SPIDER-MAN: HOMECOMING, BLACK PANTHER และ ANT-MAN AND THE WASP ให้พลุ่งพล่านขึ้นมากกว่าเดิมด้วย


อีกคนที่เป็นผู้ชนะในหนังเรื่องนี้ เฮลมุท ซีโม่ (แดเนี่ยล บรูหล์) นี่เป็นตัวร้ายที่ลึกลับและน่าสนใจ เราเดาทางไม่ได้ว่าว่าหมอนี่มีจุดประสงค์อะไร เราเดาทางไม่ได้จริงๆ จนกระทั่งหนังเฉลยซึ่งถึงกับต้องสะดุ้ง เป็นตัวร้ายที่ทำให้ ทีมอเวนเจอร์ส ล่มสลายได้จริงๆ แบบที่ เทพเจ้า และ หุ่นยนต์เหล็ก ก็ทำไม่ได้ ... หนังมาในโทนจริงจังอารมณ์เดียวกันกับ THE WINTER SOLDIER แต่หนัง มาร์เวล ก็ยังเป็น มาร์เวล ที่ยังคงมีอารมณ์ขันอยู่ ซึ่งมักมาถูกที่ถูกเวลาเสมอ โดยเฉพาะมุกจาก สไปดี้, แอนท์แมน และคู่หูคนใหม่ของจักรวาล มาร์เวล ฟัลคอน และ บัคกี้!!
สุดท้าย จะยกความดีความชอบให้ใครสักคน สองคนแรกนี่จะไม่ใช่ใครอื่นเลยถ้าไม่ใช่ทางด้านของ คริสโตเฟอร์ มาร์คัส และ สตีเฟ่น แม็คฟิลี่ สองมือเขียนบทที่อยู่คู่กับหนัง กัปตันอเมริกา มาตั้งแต่ภาค THE FIRST AVENGERS ทั้งคู่สามารถนำพาการผจญภัยของ กัปตันอเมริกา ทั้งยามก่อนเป็น ซูเปอร์โซลเยอร์ และกลายเป็น กัปตันอเมริกา มาได้จนสุดทางจริงๆ อีกสองคนที่จะไม่ชมไม่ได้ก็คือ โจ และ แอนโธนี่ รุซโซ่ ที่เคยสร้างเซอร์ไพรซ์มาแล้วใน THE WINTER SOLDIER พอมาทำ CIVIL WAR ก็ยังปล่อยของต่อเนื่อง สามารถเอาเนื้อเรื่องอยู่ทั้งที่ตัวละครก็มากมายขนาดนี้ เป็นอะไรที่น่าติดตามจริงๆ กับ INFINITY WAR ต่อจากนี้ (ผมยังคงยกให้ THE WINTER SOLDIER เป็นหนังที่ดีที่สุดของ มาร์เวล น่ะ ส่วน CIVIL WAR นี่เป็นรองอยู่นิดหน่อย)...


ความยาวทั้งหมด 147 นาที
คะแนน 9.5/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger