วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

DOCTOR STRANGE


DOCTOR STRANGE / จอมเวทย์มหากาฬ


ผู้จัดจำหน่าย : WALT DISNEY STUDIOS MOTION PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : MARVEL STUDIOS
ผู้กำกับ : สก็อตต์ เดอร์ริคสัน (SINISTER, DELIVER US FROM EVIL)
ประเภทของหนัง : ACTION | ADVENTURE | FANTASY

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”


มุมมอง
“เปิดโลกเวทย์มนต์ไปกับซูเปอร์ฮีโร่จอมเวทย์สูงสุดแห่ง มาร์เวล !!”


ถ้าว่ากันตามที่เนื้อผ้าแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า “DOCTOR STRANGE” นั้นเป็นหนังที่เล่าจุดกำเนิดซูเปอร์ฮีโร่ที่ดีอีกเรื่องครับ, มาร์เวล สตูดิโอ ยังคงใช้สูตรสำเร็จที่ได้ผลมาตลอดกับหนังหลายๆ เรื่องของค่ายนำมาใช้กับหนังเรื่องนี้ เหมือนกับหนังภาคแรกทั้งหลายที่มาก่อนหน้าไล่ตั้งแต่ ไออ้อนแมน, ธอร์, แอนท์แมน หรือแม้แต่ การ์เดี้ยนส์ ออฟ เดอะ แกแล็คซี่ การดำเนินจากจุดนี้ไปจุดนี้ หยอดมุกตลกมาเรื่อยๆ ใส่ฉากแอ็คชั่นลงไปนิด เดินเรื่องต่อ เข้าสู่โหมดจริงจังบ้าง แต่ก็ไม่ลืมที่จะหยอดความเป็นคอเมดี้ลงไป ก่อนที่จะไปจบที่ฉากแอ็คชั่นใหญ่ บูม! กำเนิดซูเปอร์ฮีโร่คนใหม่ของ มาร์เวล อย่างเป็นทางการ!

คือเราจะได้เห็น สตีเฟ่น สเตรนจ์ ที่เป็นหมอมากฝีมือ เป็นคนอวดดีมีของ ที่ค่อยๆ กลายเป็นคนที่ไม่เหลืออะไรในชีวิตหลังจากประสบอุบัติเหตุ เดินทางรักษาไปทั่ว จนต้องซื้อตั๋วเที่ยวเดียวเดินทางออกตามหา ก่อนได้พบเจอ มอร์โด และ แอนเชี่ยน วัน หวังเพื่อรักษามือที่พังไป แต่ที่นั่นกลับกลายเป็นที่ๆ เปลี่ยนชีวิตของ สเตรนจ์ ไปแบบพลิกกลับอีกด้าน!!


ซึ่งถ้าให้เทียบภาพรวม ถ้าให้เปรียบเทียบหนังเรื่องนี้ DOCTOR STRANGE ก็จะอยู่ในเกณฑ์เดียวกันกับหนังอย่าง ANT-MAN หรือ THOR ประมาณนี้ แต่ยังคงเป็นรองหนังอย่าง IRON MAN หรือ GUARDIANS OF THE GALAXY พอประมาณ แต่ตามความรู้สึกหนังมันก็ยังดีกว่า CAPTAIN AMERICA: THE FIRST AVENGER ไม่กี่ช่วงตัว คือ มาร์เวล กับเรื่องนี้ก็ยังคงรักษามาตรฐานของตัวเองไว้ได้แบบคงเส้นและคงวา ถึงแม้ว่าในหนังอาจจะมีช่วงที่เนิบช้าบ้างเป็นพักๆ ก็ตามหรือการที่หนังเร่งรีบสร้างความเก่งให้ คุณหมอแปลก เกินไป (ทั้งด้วยการฝึกและใช้ไอเท็มพิเศษ) แบบรู้สึกว่ารีบเร่งเกินไปจนไปตีกับบอสใหญ่ได้เลย แม้จะขาดๆ เกินๆ เวทย์มนต์ไม่เสถียรเท่าไร แต่ท้ายที่สุดก็ไปตีกับตัวร้ายได้แบบทัดเทียมซ่ะงั้น

แถมโทนและอารมณ์ในหนัง DOCTOR STRANGE ก็ย้อนกลับไปเหมือนกับตอน IRON MAN ภาคแรก ที่ผสมผสานความตลกเฮฮาและจริงจังเข้าด้วยกัน กับเรื่องนี้จริงจังถึงขั้นไหนก็ถึงขั้น ปรัชญา หรือ ศัจธรรมชีวิตอะไรแบบนี้ ซึ่งมันก็สมเหตุสมผลในตัวของมัน แต่หนังเองก็ยังเจือและเต็มไปด้วยความตลกอยู่ แถม สตีเฟ่น สเตรนจ์ เอาเข้าจริงนิสัยของคุณหมอก็เป็นคนกวน แต่ก็มีอีโก้สูง นิสัยออกจะคล้าย โทนี่ สตาร์ค อยู่ไม่น้อย คือเป็นคนที่จริงจัง แต่ก็มีความกวน คือ กวนบาทา อะน่ะในที่นี้ แถมยังมีเล่ห์เหลี่ยมและความฉลาด ลูกล่อลูกชนจัดเต็มอีก แต่มุกตลกที่คุณหมอปล่อยออกมาออกจะแป้กเหมือน ธอร์ ไปหน่อย คือถ้าคุณหมอเข้าทีมอเวนเจอร์สเมื่อไรน่าจะเป็นตัวสร้างมุกสร้างสีสันไม่น้อย


ตรงนี้นับเป็นข้อดีทีเดียวเลย ที่ มาร์เวล สามารถบาลานซ์ได้พอเหมาะพอเจาะ จะเครียดจะจริงจังก็จริงจัง จะตลกก็เอาให้สุด (แม้จะแป้กบ้างโดนบ้างก็ตามที), แถมหนังเองก็เอาก็เอาเรื่องต่างๆ ที่ มาร์เวล เคยเล่าและเคยเล่นมาเล็กๆ น้อยๆ ในเฟสก่อนๆ มาขยายความ ทั้งเรื่อง เวทย์มนต์ หรือ พลังพิเศษต่างๆ หรือ มัลติเวิร์ส เอกภพแยกย่อยต่างๆ ที่เคยปรากฎมาก่อนในหนัง ANT-MAN มาร์เวลก็จับจุดนี้มาขยายและเล่นให้กว้างไกลออกไปกว่าที่ผ่านมา เฟส 3 ต่อจากนี้คงมีอะไรให้ติดตามมากกว่าสองเฟสที่ผ่านมาแน่นอน

แต่ถ้าต้องมาคิดต่อว่า ด็อกเตอร์ สเตรนจ์ จะเป็นตัวละครที่มีบทบาทสำคัญใน เฟส 3 และ เฟสต่อๆ ไป และจะเป็นหักหอกคนสำคัญของ อเวนเจอร์ส ต่อจากนี้ไป การเล่าเรื่องมันก็เร่งรีบและรวบรัดไปจริงๆ นั่นแหละ หวังว่าจะแก้ตัวแก้ข้อผิดพลาดได้ในภาคสองละกัน ยิ่งถ้า สก็อตต์ เดอร์ริคสัน ได้กลับมากำกับ ก็หวังแกว่าแกจะได้ทำ DOCTOR STRANGE ในแบบที่แกหวังอยากจะทำให้เป็น THE DARK KNIGHT ตามสไตล์แก ละน่ะ ??


แต่สิ่งที่เป็นไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดของหนังก็คงจะไม่พ้น วิชวลเอฟเฟกต์ คือก็ต้องขอบอกว่ามีโอกาศได้ดูพรีวิว 15 นาทีมาก่อน ก็เห็นตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า วิชวลของหนังเข้าขั้น เครซี่ คือมันบ้ามากๆ มาร์เวล กล้าเล่นในสิ่งที่ไม่เคยมาก่อนจริงๆ พอได้ดูหนังตัวเต็มคือมันเครซี่กว่าฉาก 15 นาทีเยอะ ฉากท่องมัลติเวิร์สนี่คือตะลึงตระกาลตามาก คือหนังมันพาเราหลุดไปอีกโลกโดยแท้จริงๆ ยิ่งได้ดูแบบ IMAX นี่ยิ่งไปกันใหญ่เลย เต็มตามากๆ (คือหนังมันมีฟอร์แมตภาพขยายเฉพาะ IMAX) คือต้องยอมรับว่ามันอลังการสุดๆ สาแก่ใจมากๆ

วิชวลว่าเครซี่แล้ว ฉากแอ็คชั่นก็เครซี่ไม่แพ้กัน คือมันไม่ได้มันส์หรืออลังการใหญ่โตเหมือน CAPTAIN AMERICA: CIVIL WAR ที่เพิ่งผ่านมาหรอก แต่เครซี่ในที่นี้คือลูกเล่นที่ มาร์เวล เอามาใช้นี่แหละ คือมันข้ามขอบเขต บียอนด์กว่าหนังมาร์เวลเรื่องอื่นๆ ไปไกลโข ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ มันคือ มาร์เวล แอ็คชั่น สไตล์ เพิ่มเติมคือใส่ลูกเล่นเหมือนหลุดมาจากหนัง INCEPTION ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน มีฉากตึกหมุน ตีลังกา ตึกแยกออกเป็นสอง ตึกสลับหัวสลับหางไปมา หรือแม้แต่การใช้เวทย์มนตร์หรือพลังพิเศษของ สเตรนจ์ หมุนเวลาไปๆ มาๆ ตึกพังก็ย้อนเวลากลับไปก่อนตึกพัง คือเรื่องนี้มาร์เวลกล้าเสี่ยงที่จะเล่นกับหนังมาก แต่ผลที่ได้ก็ออกมาดีเป็นลูกเล่นที่ไม่คิดว่า มาร์เวล จะเล่นอะไรแบบนี้ ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เกิดบนจอมาก


เรื่องทีมนักแสดงในหนัง เอาเข้าจริงนี่เป็น เพอร์เฟกต์ทีม เลยนะ นักแสดงแต่ละคนนี่ตัวพ่อตัวแม่ของวงการเลยนะ ทั้ง พี่เบน เบเนดิคต์ คัมเบอร์แบทช์, ชิเวเทล เอจิโอฟอร์, แมดส์ มิคเคลเซ่น, เบเนดิคต์ หว่อง, เรเชล แม็คอดัมส์ และ ทิลด้า สวินตัน แต่เอาเข้าจริงที่เด่นที่สุดกลับเป็น พี่เบน เบเนดิคต์ คัมเบอร์แบทช์ ในบท สตีเฟ่น สเตรนจ์ และ ทิลด้า สวินตัน ในบท แอนเชี่ยน วัน, พี่เบนก็เหมาะกับบทหมอแปลกมาก ตีบทแตกเหมือนเกิดมาเพื่อบทนี้ มีความยียวนกวนประสาทคือพี่เบนนี่แบบเพอร์เฟกต์สมบูรณ์แบบในบทนี้มากๆ ทั้งหน้าตา รูปร่าง และน้ำเสียง ส่วน แอนเชี่ยน วัน ของ ทิลด้า สวินตัน ทุกฉากที่ ทิลด้า ปรากฎตัวคือทุกสิ่งต้องยอมสยบให้กับ ทิลด้า คือโดดเด่นมีออร่ามากๆ โดยเฉพาะการใช้สายตาที่ดูมีอะไรน่าค้นหา และที่สำคัญทิลด้าเท่มาก

ส่วน มอร์โด, หว่อง และ คริสทิน ก็มีบทบาทพอประมาณแต่ก็ไม่ได้เด่นขนาดเป็นที่จดจำขนาดนั้น ส่วนเรื่องตัวร้ายอย่าง ไคซีเลียส มาร์เวล ก็วกกลับสู่ลูปเดิมๆ อีกแล้วไม่ได้มีความน่าเกรงขามเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นอีกครั้งที่ มาร์เวล ทำตรงนี้พัง และเอาตัวร้ายที่น่าจะปั้นได้มาพังทิ้งกับมือ แถมเอานักแสดงตัวเจ๋งๆ มาทำให้กลายเป็นตัวประกอบ พี่แมดส์ มิคเคลเซ่น นี่เดินตามรอยรุ่นพี่อย่าง ฮิวโก้ วิฟวิ่ง (เรดสกัล), คริสโตเฟอร์ เอคเคิลสตัน (มาเลคิธ), คอรี่ย์ สโตลล์ (ดาร์เรน ครอสส์/เยลโล่แจ็คเก็ต) หรืออาจจะรวมถึง ลี เพซ (โรแนน) ด้วย อ้ะ! และที่ลืมไม่ได้เลยอย่าง เจมส์ สเปเดอร์ (อัลตรอน)


ทั้งๆ ที่ แดเนี่ยล บรูหล์ (ซีโม่) ใน CAPTAIN AMERICA: CIVIL WAR ทำไว้ได้ดีขนาดนั้น ยังไงซ่ะตัวร้ายก็ยังเป็นข้อด้อยในหนังมาร์เวลเหมือนเดิมนั่นแหละ ทั้ง มอร์โด, หว่อง, คริสทิน และ ไคซีเลียส รวมถึงตัวละครลับอีกตัว ... คือเป็นตัวละครที่ไม่ได้เป็นที่น่าจดจำขนาดนั้น สรุปเอาเป็นว่า โคล้ก ออฟ เลวิเทชั่น ยังเด่นและมีบทบาทมากกว่าสี่ตัวนี้อย่างคาดไม่ถึงเป็นที่น่าจดจำในฐานะตัวละคร? ที่เด่นและขโมยซีนมากๆ

อันนี้ถ้าไม่พูดถึงคงไม่ได้นั่นคือสกอร์ดนตรีประกอบของ ไมเคิล เกียคชิโน่ ขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่าเป็นแฟน เกียคชิโน่ มานานมาก! ใน DOCTOR STRANGE เรื่องนี้ เกียคชิโน่ ยังรักษามาตรฐานของได้เหมือนเดิม ดนตรีในเรื่องมีทำนองคล้ายธีม STAR TREK แต่เท่าที่ฟังจะเน้นดนตรีเครื่องสายเป็นหลัก ซึ่งแน่นอนก็เข้ากับธีมหนังเลย! ... ขอถามหน่อยครับว่าไม่ได้ขนลุกกับสกอร์ดนตรีในหนัง มาร์เวล มานานเท่าไร หรือเคยขนลุกบ้างไหมในหนังทั้ง 13 เรื่องที่ผ่านมา? ขอบอกว่าเรื่องนี้ มาร์เวล ทำได้ครับ ขนลุกจริงๆ ที่นี้ก็กล้าพูดได้แล้วว่า มาร์เวล มีสกอร์ดนตรีที่ยิ่งใหญ่ในหนังตัวเองเหมือนกับคนอื่นเขาสักที


สุดท้ายท้ายสุด ขอบอกเลยว่าในเครดิตหนังของ สก็อตต์ เดอร์ริคสัน ไม่ใช่ผู้กำกับในดวงใจผมเลยแม้แต่น้อย ดูหนังที่แกกำกับทุกเรื่องๆ ส่วนใหญ่จะเฉยๆ ค่อนข้างไปทางเกลียดเลย แต่ต้องยอมรับว่าแกคุมเรื่องนี้ระดับเอาอยู่จริงๆ ถ้าไม่นับเรื่องที่หนังมันเร่งๆ และก็เรื่องตัวละคร ยอมรับครับว่า สก็อตต์ เดอร์ริคสัน แกคุมหนังสเกลนี้อยู่ แกเอาชนะความยากของ DOCTOR STRANGE ได้จริงๆ ครับ และนั่นก็ขอบอกว่า DOCTOR STRANGE เป็นหนังที่ผมชอบเรื่องแรกในเครดิตของ สก็อตต์ เดอร์ริคสัน ครับ!...


ความยาวทั้งหมด 115 นาที
คะแนน 8.5/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger