END OF WATCH / คู่ปราบกำราบนรก
(29/09/2012) - 100 BATH
ผู้จัดจำหน่าย : OPEN ROAD FILMS
สตูดิโอผู้สร้าง : EXCLUSIVE MEDIA GROUP
ผู้กำกับ : เดวิด เอเยอร์ (HARSH TIME, STREET KINGS)
ประเภทของหนัง : ACTION | CRIME | DRAMA
“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอัธรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”
มุมมอง
“เรียลลีตี้ตามติดชีวิตตำรวจ”
“End of Watch” คือคำปฏิบัติการเมื่อตำรวจเสร็จสิ้นการทำภารกิจ แต่ก่อนการจะทำภารกิจแต่ละครั้งเราไม่รู้ว่าบรรดาตำรวจมีชีวิตอย่างไร มีชีวิตอย่างไร ลำบากอย่างไร ดังนั้น เดวิด เอเยอร์ มือเขียนบทจาก Training Day ที่เคยส่ง เดนเซล วอชิงตัน ให้ได้รางวัลออสการ์สาขานำชายยอดเยี่ยมเมื่อปี 2002 ที่ใน End of Watch เดวิด เอเยอร์ ไม่ได้มาแค่ทำหน้าที่เขียนบทเพียงเท่านั้น แต่ใน End of Watch เอเยอร์นั่งแทนกำกับหนังด้วยตัวเอง ด้วยเรื่องราวการตามติดชีวิตตำรวจในแบบเดียวกันกับ The Truman Show ที่ในที่นี้ไม่ได้ตามติดแบบแอบถ่าย แต่ถ่ายแบบจงแจ้ง และงานนี้ไม่ได้มุมกล้องธรรมดา แต่มาในแบบ Cloverfield เรามาดูกันว่า End of Watch จะเป็นอย่างไร เรามาว่ากัน...
End of Watch คือเรื่องราวการตามติดชีวิตของคู่หู 2 ตำรวจแห่ง LAPD นั้นก็คือ ไบรอัน เทยเลอร์ (เจค จิลเลนฮาล) และ ไมค์ ซาวาลา (ไมเคิล เปญ่า) ที่ในหนังคือการตามติดชีวิตของทั้ง 2 คนในการทำหน้าที่ตำรวจและในการทำคดี...
ซึ่งสำหรับ End of Watch เมื่อดูจบเรารู้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ไม่ควรพลาด เพราะหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดีมากอีกเรื่องของในรอบปีนี้ด้วยการที่หนังสามารถถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตตำรวจได้ดูเรียลและดูสมจริง เหมือนกับเราอยู่ในเหตุการณ์ของคู่หู่คู่นี้ด้วย และหนังยังถ่ายทอดอารมณ์ให้คนดูรู้สึกตาม คล้อยตาม เอาใจช่วย ร่วมทุกข์ ร่วมสุข ไปกับคู่หูคู่นี้ และนอกจากนี้ครับหนังยังสามารถทำให้เรารับรู้การทำงานของตำรวจ ชีวิตของตำรวจ ที่มีทุกข์ เศร้า สุข สนุก ไปด้วยกันตลอดการทำงาน รับรู้ว่าชีวิต "ตำรวจดี" และ "ทำเพื่อหน้าที่" นั้นเป็นอย่างไร ซึ่งตรงนี้เป็นอารมณ์และการรับรู้ที่เมื่อดูหนังจบเราก็รู้สึกได้ทันที
ซึ่งตัวหนัง End of Watch เองตัวหนังก็มีทั้งความสนุก ความมันส์ ความสมจริง ความเหนื่อยของตัวละครและความเหนื่อยของคนดู อีกทั้งหนังยังมีการพัฒนาความสัมพันธ์และความสำคัญของตัวละครขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหนังเริ่มจนหนังจบ และหนังก็ทำให้เรารู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครเอกทั้ง 2 ตัวละคร ดังนั้นหนังจึงมีส่วนที่สำคัญนั้นก็คือการที่หนังมีความน่าเบื่อ แต่มันก็เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับหนังประเภทแนวตามติดชีวิตคนอยู่แล้ว แต่นั้นก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หนังมีความกลมกล่อมในตัวอย่างพอดี ไม่เยอะเกินไป และ ไม่น้อยเกินไป แต่หนังมีอิพแพ็คที่ยิ่งใหญ่ และการที่หนังสามารถกระชากอารมณ์คนดูได้ในบทสรุปของหนัง ซึ่งก็ทำให้หนังสามารถไปอยู่ในความทรงจำหนังแนวนี้ได้อีกเรื่อง
ด้วยหนังเป็นรูปแบบเรียลลีตี้ตามติดชีวิต (ซึ่งในหนังมีสาเหตุอธิบายไว้ด้วยว่าทำไมถึงมีกล้อง) ดังนั้นด้วยมุมกล้องที่มีหลายรูปแบบ หลายคนอาจเกิดอาการมึนตึบ และเกิดอาการวินเวียน กับมุมกล้องที่เรียกว่า Found Footage หรือกล้องแฮนด์เฮลด์ แบบหนังอย่าง Cloverfield, Chronicle ที่หลายคนอาจจะชินแล้ว แต่สำหรับคนไม่ชินก็ต้องทำใจกัน แต่สำหรับคนที่ดูหนังมุมกล้องประเภทนี้มาและไม่เกิดอาการเวียนหัว ดังนั้นการที่หนังใช้มุมกล้องแบบนี้ถือเป็นความแปลกใหม่ในมุมกล้องและการถ่ายทอดนำเสนอ เพราะว่าการที่หนังไม่ได้ใช้กล้องแค่ตัวเดียวตลอดทั้งเรื่อง แต่หนังเลือกที่จะใช้กล้องที่อยู่รอบๆ ตัวของตัวละครมาถ่ายทอด ทั้งทางฝั่งพระเอก (ตำรวจ), ฝั่งผู้ร้าย (แก๊งค์ค้ายา), กล้องวงจรปิด ฯลฯ ถือเป็นการเปิดโลกใหม่ในการดูหนังอีกครั้งเหมือนกับการที่เราเจอกับมุมกล้องของหนังประเภทนี้ครั้งแรก แต่สำหรับ End of Watch กลับยกระดับไปเหนือกว่า และให้อารมณ์ประมาณเหมือนเราดูถ่ายทอดสด + การเล่มเกมประเภมยิงกันแบบเกม DOOM, Counter Strike หรือ HALO เป็นต้น
การแสดงของเจค จิลเลนฮาล และ ไมเคิล เปญ่า ในบทของ 2 ตำรวจที่เป็นคู่หู ทั้ง 2 คนเล่นดีและทำให้เราเชื่อว่าทั้งคู่เล่นเป็นตำรวจจริงๆ และยอมตายแทนกันได้จริงๆ ซึ่งตรงนี้คงเป็นเพราะบทที่เขียนมาดีและมีฉากหลายๆ ฉากที่เอื้ออำนวยให้เรารับรู้ว่าทั้งคู่เป็นตำรวจจริงและยอมตายแทนจริงๆ กันได้ อาทิ ฉากไฟไหม้เป็นต้น หรือ ฉากต่างๆ ที่ทั้งคู่พูดคุยกันในรถ ซึ่งผลที่ตามมาในบทสรุปของหนังในช่วงท้ายก็คือ "รู้สึกสะเทือนใจ" กับบทสรุปของหนังที่นำเสนอ แม้ว่าเราจะเดาทางออกได้ว่าหนังจะจบในรูปแบบนี้ แต่เมื่อถึงฉากนั้นจริงๆ ก็รู้สึกไปกับความรักและเสียสละของทั้ง 2 คนไม่ได้ ซึ่งตรงนี้จะยกแค่การเขียนบทอย่างเดียวก็คงไมได้ แต่เพราะการแสดงของทั้งคู่ที่มีความเข้ากันและลงตัวที่ส่งเสริมหนังด้วย
ดังนั้นการเขียนบทของเดวิด เอเยอร์ ก็คือการเขียนบทที่สุดยอดมากๆ ผมไม่เคยดู Training Day แต่ต้องยอมรับว่าบทที่เขียนมาใช้ในหนัง End of Watch สุดยอดจริงๆ ซึ่งยังไม่นับรวมการกำกับของ เดวิด เอเยอร์ เองที่ใช้มุมกล้องหลายๆ แบบ และ นำเสนอหนังออกมาได้อย่างลงตัวและสมบูรณ์ทั้งเรื่องบท การพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละคร ฉากต่างๆ ฉากการไล่ล่า ฉากแอ็คชั่น และมุกตลก ทุกอย่างลงตัวและกลมกล่อมดังอาหารระดับภัตตาคารในโรงแรมหรู แม้จะไม่ได้เป็นภัตตาคารโรงแรมที่ดีที่สุด แต่เป็นภัตตาคารที่ถูกยอมรับให้ดีรองๆ ลงมาครับ ซึ่งผมจะรอคอยหนังเรื่องใหม่ของ เดวิด เอเยอร์ ครับ
สรุป
“END OF WATCH เป็นหนังที่ดีเป็นหนังที่ครบเครื่องที่มีองค์ประกอบของหนังครบ ถึงแม้ตัวหนังจะมีช่วงน่าเบื่อและเหนื่อยๆ ก็ตาม แต่ด้วยการแสดงของนักแสดงและการดำเนินที่แปลงมาจากบทที่ดี ดังนั้น END OF WATCH เป็นหนังที่ไม่สมควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ”
ความยาวทั้งหมด 109 นาที
คะแนน 9/10
-----------------------------------------------------------------------
ใครที่ชอบอัพเดทข่าวสารวงการหนังขออนุญาติฝากแฟนเพจ KURENAI THE MOVIE ไว้ด้วยนะครับ มาอัพเดทข่าวสาร หรือ พูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ แบบมีสาระบ้างไม่มีสาระบ้าง อัพเดทแบบไม่ให้ตกข่าวกันเลยครับ อย่าลืมมากด Like กันนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น