วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556

AFTER EARTH


AFTER EARTH / สยองโลกร้างปี


ผู้จัดจำหน่าย : SONY PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : COLUMBIA PICTURES, OVERBROOK ENTERTAINMENT
ผู้กำกับ : เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน (THE SIXTH SENSE, SIGNS)
ประเภทของหนัง : ACTION | ADVENTURE | SCI-FI

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
“ผลงานสุดน่าผิดหวังเรื่องล่าสุดของ เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน”


เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน เคยถูกยกย่องให้เป็น สปีลเบิร์ก คนต่อไปเมื่อหลายปีก่อนสมัย THE SIXTH SENSE, UNBREAKABLE, SIGNS ที่สร้างความสุดยอดไว้มากทั้งเงินและเสียงวิจาร์ณแต่ในช่วงหลังใครบอกว่า เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน คือสปีลเบิร์ก คนต่อไปอาจจะไม่เชื่อก็เป็นได้เพราะหนังเรื่องล่าสุดอย่าง THE LAST AIRBENDER ไม่ประสบความสำเร็จทั้งเสียงวิจาร์ณและด้านรายรับ หรือแม้แต่หนังที่เอ็ม. ไนท์ เป็นคนเขียนบทอย่าง DEVIL ทั้งสองเรื่องออกฉายเมื่อปี 2010 ก่อนที่ เอ็ม. ไนท์ จะหายตัวไปหลายปีก่อนที่กลับมาอีกครั้งในปีนี้กับ AFTER EARTH ที่ได้ วิลล์ สมิธ และ เจเด็น สมิธ มารับบทนำในหนังและก็เหมือนเป็นการตอกย้ำว่า เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน ควรเริ่มต้นตั้งแต่ต้นใหม่ซักที..!!

AFTER EARTH เป็นงานหนังไซไฟชั้นดีที่มีองค์ประกอบครบทั้งทีมงาน ทีมนักแสดง รวมอาจจะถึงการนับรวมผู้กำกับด้วยก็ได้ พร้อมกับเนื้อหาเรื่องราวอย่างดีกับเรื่องราวของ พ่อกับลูกที่ห่างเหินในดินแดนต้องห้าม ที่คุณลูกชายต้องออกลุยแทนพ่อ เพื่อความหวังหากอยากมีชีวิตรอด แค่นี้ก็ดูออกแล้วว่า องค์ประกอบของหนังนั้นเป็นวัตถุดิบชั้นดีหากทำออกมาสนุกมันจะยกระดับหนังให้สูงได้ แต่จุดผิดพลาดเล็กๆ ที่ทำลายทั้งเรื่องก็คือ ตัวบทภาพยนตร์ครับ ซึ่งตัวบทเนี่ยล่ะที่เป็นปัญหาเพราะนี่คือจุดเล็กๆ ที่เปลี่ยนหนังจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้ เพราะบทหนังเนี่ยล่ะครับที่ทำให้หนังออกมาไม่สนุก และกับเรื่องราวที่ดูว่างเปล่า!!


ลองไปไล่เช็คดูตัวบทภาพยนตร์นั้นเขียนโดย เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน!! และ แกรี่ วิททา ผ่านเรื่องราวที่ วิลล์ สมิธ เป็นคนคิด!! อย่างที่รู้กัน เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน เมื่อซัก 10 กว่าปีก่อนนี่คือตัวท็อปในด้านการเขียนบทแต่ตอนนั้นกับตอนนี้มันไม่ใช่ ส่วน แกรี่ วิททา แกเป็นผู้เขียนบทจาก THE BOOK OF ELI ซึ่งก็ไม่รู้น่ะว่าทั้งคู่เขียนบท AFTER EARTH ออกมากันอีท่าไหนทำไมดูธรรมดาซะไม่มี พอ เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน มากำกับหนังที่นี่ก็เป็นปัญหาใหญ่ของหนังในทันทีเพราะอย่างที่บอกหากบทหนังไม่ดี จะเอาผู้กำกับเก่งขนาดไหนมากำกับ นักแสดงเยี่ยมระดับออสการ์ มาใส่ในหนังหรือจะทำยังไงกับหนัง หนังก็ไม่สนุกขึ้นมาได้ เนี่ยคือจุดผิดพลาดสำคัญของหนังครับ

แต่ความเป็นจริงหากเจาะจงลงไปในบทหนังจะทำให้เราเห็นอะไรหลายๆ อย่างครับ ด้วยเหตุผลที่ทำให้หนังออกมาไม่ดี อาทิ ว่า หนังไม่สนุก คือ มันไม่สนุกจริงๆ, การดำเนินเรื่อง ออกแนวน่าเบื่อตลอดเรื่อง, ประเด็นที่หนังนำเสนอ ไม่รู้ว่าหนังพยายามจะสื่อถึงอะไรกันแน่ หากว่าพยายามสื่อถึง ความรักของพ่อลูก งานนี้หนังก็สื่อออกมาได้ไม่ไหวเลยจริงๆ หรือหากหนังพยายามจะสื่อถึง การเอาตัวในที่ที่เราไม่รู้จัก หนังก็ทำออกมาได้ไม่ดีเอาซะเลย เพราะอย่างที่บอกหนังไม่สนุก หรือแม้แต่ประเด็นที่ตัวละครชอบพูดอย่าง การเอาชนะความกลัว เข้าใจว่าหนังพยายามหยอดมาตลอดเรื่องแต่ก็ไม่รู้จะหยอดมาทำไม ในเมื่อจู่ๆ ตัวละครอยากจะเอาชนะความกลัวก็ทำได้ขึ้นมาซะงั้น!!


ทั้งหมดที่กล่าวมานี่คือจุดอ่อนของหนัง ซึ่งจริงๆ มันเยอะกว่านี่มาก แต่เอาเท่านี้เถอะเดี่ยวจะไม่เหลืออะไรให้จดจำต่อหนัง แต่ในเมื่อหากมีข้อเสียยังไงก็ต้องมีข้อดีอยู่บ้าง ข้อดีอย่างแรกคือ เจเด็น สมิธ คือน้องแกเล่นดีมากๆ ครับ เป็นจุดสำคัญที่ทำให้หนังไม่แย่ไปมากกว่านี้ เพราะหากไม่ได้เจเด็นรับรองหนังไปอีกแบบแน่ ส่วน วิลล์ สมิธ แกอยู่เฉยๆ คอยพลักดันลูกในหนัง (และในชีวิตจริง) แกไม่ได้มีส่วนให้ชมหรือตำหนิครับ อย่างที่สองคือการสร้างโลกที่ถูกทิ้งร้างให้ออกมาดี งานนี้ขอชม เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน ที่สร้างโลกออกมาได้สมจริง (ผิดกับเนื้อเรื่อง) คือทำออกมาได้สมจริง ดูเป็นโลกที่รกร้างจริงๆ ซึ่งการทำส่วนนี้ออกมาดีก็ทำให้ฉากที่คิดว่าดีที่สุดของหนังอย่าง ดิ่งน้ำตก ออกมาดูสมจริงมาก แต่ก็แค่นั้นล่ะ แต่หากให้เทียบกับงานที่ดีที่สุดของ เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน อย่าง THE SIXTH SENSE นั้น AFTER EARTH ห่างไกลอยู่พอสมควรครับ

สรุป
“ก็ไม่รู้เหมือนกว่าจะพิมพ์ให้มันยาวไปทำไมเพราะเอาจริงๆ สรุป 3 บรรทัดจบก็ได้ เอาน่ะ AFTER EARTH เป็นงานหนังไซไฟ 100 นาที ที่องค์ประกอบดี แต่การเล่าเรื่องของ เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน สอบตกพอๆ กับ THE LAST AIRBENDER คือไม่สนุกพอๆ กัน แต่หากไม่มี เจเด็น สมิธ รับรอง คาดว่าหนังอาจจะแย่กว่านี้แน่ หวังว่า เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน จะกลับไปเริ่มต้นใหม่ท่าจะดีกว่า เป็น 100 นาทีที่ไม่คุ้มค่าเอาซะเลย”


ความยาวทั้งหมด 100 นาที
คะแนน 6.5/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger