THE FAULT IN OUR STARS / ดาวบันดาล
ผู้จัดจำหน่าย : 20TH CENTURY FOX
สตูดิโอผู้สร้าง : TEMPLE HILL ENTERTAINMENT
ผู้กำกับ : จอช บูน (STUCK IN LOVE)
ประเภทของหนัง : DRAMA | ROMANCE
“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”
มุมมอง
“ขอเพียงเราสองให้ดาวบันดาล!”
ขอออกตัวไว้ก่อน ณ ตรงนี้เลยครับว่าสำหรับนิยายเล่มนี้ "THE FAULT IN OUR STARS" หรือชื่อไทยอันไพเราะว่า "ดาวบันดาล" ของ จอห์น กรีน อ่านมาก่อนได้ดูหนังเรียบร้อยแล้วเพราะงั้นถ้าจะมีการเปรียบเทียบ (แบบหนักมือ) ก็อย่าตกใจไปล่ะ เอาล่ะเข้าเรื่อง THE FAULT IN OUR STARS ในฉบับหนังนี้ได้ จอช บูน (STUCK IN LOVE) มาทำหน้าที่ผู้กำกับพร้อมกันนี้ยังได้บรรดานักแสดงดาวรุ่งของวงการทั้ง อันเซล เอลกอร์ท และ ไชลีน วู้ดลี่ย์ มารับบทนำ และสมทบด้วยทีมนักแสดงทั้ง แนท วูลฟ์, วิลเลม เดโฟ, ลอร์ล่า เดิร์น, แซม แทรมเมลล์, ลอตเต้ เวอร์บิค..!
..ก็เหมือนกับภาพยนตร์แทบทุกเรื่องที่ดัดแปลงมาจากนิยายสักเล่มก็ต้องโดนเปรียบเทียบ และสำหรับ THE FAULT IN OUR STARS ก็เหมือนกัน ที่ต้องโดน แต่ก่อนจะไปเปรียบขอพูดโดยไม่ยึดติดในตัวนิยายกันก่อน สำหรับ THE FAULT IN OUR STARS ดูจะเป็นหนังรักวัยรุ่นทั่วๆ ไปที่พิเศษหน่อยตรงนี้เอาโรคร้ายมาเป็นจุดขาย (มาแนวเดียวกันกับ NOW IS GOOD ของ ดาโกต้า แฟนนิ่ง เลย) ในที่นี้คือ 'มะเร็ง' แต่หนัง (อันที่จริงต้องว่ากันตั้งแต่หนังสือ) ก็ไม่ได้พยายามจะทำให้หนังออกมาเป็นงานดราม่าแบบหนักๆ แต่ทำตัวเองให้ดูเป็นงานออกแนวหนังฟีลกู้ดให้กำลังใจกับชีวิต พอดู (และอ่าน) จบ จะคิดว่าไอ้ชีวิตของเรานี่มีสมราคาที่เกิดมาหรือยัง?
ส่วนตัวหนังก็เล่าแบบเรื่อยๆ ดูเพลินๆ ไปเรื่อยๆ ได้ แต่บางครั้งบางคราวหนัง (และนิยาย) ก็จะเข้าสู่โหมดหนักๆ กับคนดู (และอ่าน) จะบางทีอาจจะมีน้ำตาซึม (หรือน้ำตาแตก) ไปเลยก็ว่าได้ ด้านตัวนักแสดงทั้ง อันเซล เอลกอร์ท และ ไชลีน วู้ดลี่ย์ ยอมรับเลยว่าทั้งคู่นี่ตรงตามที่นิยายบอกไว้เลยก็ว่าได้ อันเซล ในหนังนี่มีเสน่ห์มากพอเข้าฉากกับ ไชลีน ผลที่ได้คือจัดว่าเพอร์เฟกต์และลงตัว ด้านนักแสดงคนอื่นๆ นี่ก็เหมือนออกมาจากหนังสือทั้ง แนท วูลฟ์ ผู้รับบท ไอแซค เพื่อนของ กัส ผมชอบการแสดงของหมอนี่มาตั้งแต่ ADMISSION แล้ว พอได้รับบทใน STUCK IN LOVE (งานก่อนหน้าของ บูน) หมอนี่อนาคตไกลแน่ แต่ใน THE FAULT IN OUR STARS แม้จะไม่ได้บทนำแต่ก็เด่นเอาเรื่องอยู่
ส่วน ลอร์ล่า เดิร์น, แซม แทรมเมลล์, ลอตเต้ เวอร์บิค ทำหน้าที่ตัวเองได้ดีในบท แม่และพ่อของเฮเซล และ ลีเดไวจ์ ผู้ช่วยของ แวน เฮาเติน ที่รับบทโดย วิลเลม เดโฟ ซึ่งแม้ป๋าเดโฟในหนังเรื่องนี้จะไม่ได้อ้วนพุ่งพลุยหรือนิสัยน่าเกลียด (เท่านิยาย) แต่การได้การแสดงของป๋าเดโฟจัดว่าเป็นไฮไลท์ที่น่าสนใจในบางช่วงบางตอนของหนัง (พาร์ทในส่วนทริปไปอัมส์เตอร์ดัม) - จากนี้ขอมาว่ากันที่ในส่วนของการเปรียบเทียบในส่วนของนิยายกับหนัง จากที่ว่าๆ กันมา THE FAULT IN OUR STARS ฉบับหนังดูจะเป็นงานที่ดีเหมาะแก่การดูและไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง แต่ถ้านำไปเทียบกับส่วนนิยายจะถือว่าเด็กๆ และบางทีดูจะรวบรัดไปหน่อยด้วยซ้ำ
สำหรับคนที่อ่านนิยายมาก่อนจะรู้ว่าในนิยาย THE FAULT IN OUR STARS จะมีนิยายเรื่อง AN IMPERIAL AFFLICTION ที่ ปีเตอร์ แวน เฮาเติน แต่ง ซึ่งเป็นนิยายที่ เฮเซล ชอบ (ในนิยายอธิบายว่าเฮเซลอ่านไปหลายรอบ) ซึ่งอ่านจบ เฮเซล ก็มีปัญญาไม่สามารถหาคำตอบตอนจบหลังจากนั้นได้ และนั้นก็ถือว่านี่เป็นส่วนสำคัญที่เรียกได้ว่าเป็น 'จุดเกิดเหตุ' ที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างหลังจากนั้นในนิยาย 'เกิดขึ้น' แต่กับฉบับหนังอยากจะหยิบยกขึ้นมาก็ขึ้นมา และอยากจะไป อัมส์เตอร์ดัม ก็ไปกันซะงั้น (นิยายอีกเรื่องก็เหมือนโดนลืม THE PRICE OF DAWN) นี่คือหนึ่งจุดที่หนังพลาดมาก อีกส่วนที่พลาดก็คือช่วงที่ก่อนไปอัมส์เตอร์ดัม ที่ กัส จะทะเลาะกับ พ่อและแม่ ที่จะเป็นปริศนาที่รอเฉลยหลังกลับจากอัมส์เตอร์ดัมตรงนี้หนังก็พลาด
อีกหลายๆ ส่วนที่ดูหนังก็พลาดๆ ไป (แต่ตรงนี้จะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ล่ะมั้ง) ทั้งความสัมพันธ์ของ เฮเซล กับ ไอแซค, พวกเรื่องพ่อแม่พี่น้องของกัส, อดีตแฟนของกัส, เรื่องสนามบิน, V FOR VENDETTA ตรงนี้จริงๆ ก็ไม่สำคัญจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ล่ะน่ะ แต่ก็หาใช่ว่านิยายจะดีกว่าหนังไปทั้งหมด พออะไรๆ หลายๆ อย่างได้ปรากฏบนจอภาพยนตร์บางทีก็ดูดีขึ้นด้วยซ้ำ อาทิฉากในอัมส์เตอร์ดัมโดยเฉพาะฉากที่ เฮเซล และ กัส ได้ไปดูบ้าง แอนน์ แฟรงค์ ณ จุดนี้หนังทำออกมาได้ดีเป็นอย่างมาก (ถือเป็นส่วนที่ดีที่สุดที่ทำได้เหนือกว่านิยาย)
เอาล่ะครับสำหรับ THE FAULT IN OUR STARS ฉบับหนังถ้าเน้นที่เรื่องราวพวกที่พลาดไปมากกว่านี้ (โดยเฉพาะ AN IMPERIAL AFFLICTION) รับรองว่านี่จะออกมาเป็นงานหนังที่ดูดีและสมบูรณ์มากกว่านี้ครับ แต่ถึงกระนั้น THE FAULT IN OUR STARS ก็เป็นงานที่ดัดแปลงนิยายออกมาได้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้แล้วครับ - สำหรับ จอช บูน ดูถ้าจะถนัดแนวแบบนี้จริงๆ สิน่ะ รอผลงานต่อไปอยู่น่ะครับ...
ความยาวทั้งหมด 126 นาที
คะแนน 8/10
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น