STAR WARS: THE FORCE AWAKENS / สตาร์ วอร์ส: อุบัติการณ์แห่งพลัง
ผู้จัดจำหน่าย : WALT DISNEY STUDIOS MOTION PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : LUCASFILM, BAD ROBOT
ผู้กำกับ : เจเจ เอบรามส์ (STAR TREK, STAR TREK INTO DARKNESS)
ประเภทของหนัง : ACTION | ADVENTURE | FANTASY
“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”
มุมมอง
“ยุคใหม่ สงครามครั้งใหม่ บัดนี้พลังมันตื่นขึ้นมาแล้ว!!”
จะว่าไปแล้วสถานะของ เจเจ เอบรามส์ ในการกำกับทั้ง สตาร์ เทรค และ สตาร์ วอร์ส แทบจะเหมือนกันหรือแทบไม่ต่างกันเลย นั่นก็คือการเข้ามาปลุกชีพแฟรนไชส์ที่ห่างหายไปนานหลายปีให้ลืมตาตื่นขึ้นอีกครา ก็อย่างที่รู้กันว่า เจเจ สามารถปลุกชีพ สตาร์ เทรค ได้สำเร็จ! ทั้งๆ ที่แกไม่ได้เป็นแฟน สตาร์ เทรค เลย แต่แกทำได้ เปลี่ยนแฟรนไชส์เรื่องนี้ให้เป็นหนังไซไฟที่สนุกได้ใจ เทรคกี้ (รวมถึง เทรคเกอร์ส) ทั้งรุ่นเก่า แล้วยังดึง แฟนรุ่นใหม่ให้มาติดตามได้ สานต่อแฟรนไชส์ได้เป็นผลสำเร็จ และกับ สตาร์ วอร์ส ภาคนี้ เจเจ ก็มาในสถานะเดียวกัน เจเจ คือคนที่จะเข้ามาปลุกชีพ สตาร์ วอร์ส และเป็น สตาร์ วอร์ส ภาคต่อโดยตรงกับ ไตรภาคแรก ที่เป็นตำนานก่อนที่จะส่งไม่ต่อให้คนอื่นต่อไปในอนาคต
ด้วยความเป็น เจเจ เอบรามส์ เราจึงแทบจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับตัวหนัง รู้เพียงแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น อาทิ เป็นเรื่องราว 30 ปีต่อจาก เอพพิโซด 6, จาก จักรวรรดิ เอมไพร์ กลาย ปฐมภาคี หรือ เฟิร์สท์ออร์เดอร์ แล้วก็ข้อมูลของตัวละครอีกนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น ขนาดตัวอย่างยังแทบไม่เปิดเผยเรื่องราวอะไรเลย ขนาดเรื่องย่อยังแทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำ ซึ่งท้ายที่สุดกว่าจะรู้ข้อมูลจริงๆ ก็นู่นเลยครับ ฉาก โอเพ่นนิ่ง ครอว์ เท็กซ์ ที่มาพร้อมสกอร์ธีมของ จอห์น วิลเลี่ยมส์ ตอนเปิดเรื่องนั่นแหละ แต่ก็เพราะด้วยความเป็น เจเจ นี่แหละจึงเป็นข้อดีของหนัง
คือ สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 7 นี้คือแบบถ้าโดนสปอยล์ก่อนได้ชมนี่พูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า พัง! คือ จบเลยงานนี้ เพราะหนังมี โมเมนท์ แบบ เซอร์ไพรซ์ กับคนดูเยอะมากๆ ยิ่งถ้าเคยผ่านตากับ ไตรภาคต้นฉบับ มาก่อน จะมีโมเมนท์ชวนคิดถึงและชวนขนลุกเยอะมากๆ คือก็รู้แหละว่า เจเจ มันตั้งใจ แต่ก็ อดไม่ได้จริงๆ พอมีการปรากฏตัวหรือพูดถึงตัวละครจาก ไตรภาคต้นฉบับ ก็อดไม่ได้จริงๆ ที่จะยิ้มและขนลุกไปกับหนัง มันเหมือนกับการได้กลับไปเจอเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่ไม่ได้เจอกันมานานแสนนาน นี่ขนาดผมที่เป็น เทรคกี้ ยังปลื้มขนาดนี้ (คือความรู้สึกมันก็อารมณ์เดียวกันกับ สตาร์ เทรค นั่นแหละ อย่างตอนที่ สป็อค ไพร์ม ของ ปู่เลนเนิร์ด นีมอย โผล่มันก็แบบนี้แหละคือฟิน!!) แล้วพวกที่เป็นแฟน สตาร์ วอร์ส จะปลื้มขนาดไหน
ว่ากันที่ตัวหนังกันอย่างเดียวบ้าน ก็นับว่า สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 7 นี้เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ดูสนุกมากๆ อีกเรื่องในปีนี้เลยน่ะครับ ก็อาจจะไม่ได้ดีที่สุดแบบเพอร์เฟกต์หรือสมบูรณ์แบบที่สุดของปีนี้ แต่ก็จัดได้ว่าเป็นหนังที่ดูสนุกและก็บันเทิงมากๆ เรื่องหนึ่งในปีนี้ ต้องขอชื่นชมตาแว่น เจเจ ที่กำกับออกมาได้ดีมากๆ คุมเรื่องให้ออกมาสนุกตั้งแต่ยันจบได้ คือตลอดการดูไม่มีช่วงที่รู้สึกว่าหนังอ่อนพลังลงเลยน่ะคือตัดไปได้เลยเรื่องที่หนังจะน่าเบื่อ มีแต่หนังจะพีคและสนุกมากขึ้นเรื่อยๆ คือหนังมันครบรสน่ะ ยิ่งตอนท้ายคือโคตรของคำว่าพีคเลยน่ะ คือดูหนังจบแล้วแบบอยากดู เอพพิโซด 8 ทันที (เป็นงานหนักของ ไรอัน จอห์นสัน จาก ลูปเปอร์ ที่มารับไม้ต่อจาก เจเจ จริงๆ ว่าจะทำได้เท่า เจเจ หรือไม่)
ลอว์เลนซ์ แคสดาน (เขียนบท เอพพิโซด 5 และ 6), เจเจ เอบรามส์ และ ไมเคิล อาร์นท์ คือทีมเขียนบทในภาคนี้ จะพูดเลยก็ได้ว่า เอพพิโซด 7 นี่เป็นการส่งผ่านส่งไม้ต่อจากยุคสมัยหนึ่งไปสู่อีกยุคสมัยหนึ่ง จากรุ่นไปสู่อีกรุ่น เท่าที่ดูหนังใช้สูตรเดียวกันกับ ไตรภาคต้นฉบับ (เอพพิโซด 4-6) ถ้าต้นฉบับมี ลุค, เลอา, ฮาน และ ดาร์ธ เวเดอร์ เป็นหัวใจสำคัญ ไตรภาคใหม่นี้ก็มี เรย์, ฟินน์, โพ แล้วก็ ไคโร เรน เป็นหัวใจสำคัญ แต่ถึงกระนั้นหนังก็ไม่ลืมที่จะเอารุ่นพี่มาประคับประคองรุ่นน้อง ก่อนที่ในภาคต่อๆ ไปพวกเขาจะเป็นแกนหลักของหนังจริงๆ
กับเคมีของตัวละครในภาคนี้หลักๆ จะเน้นอยู่ที่ เรย์, ฟินน์, ฮาน โซโล, ชิวแบ็คก้า และ ไคโร เรน รวมถึง BB-8 ด้วยก็ได้ ทั้งหมดมีเคมีที่ลงตัวมากเลยน่ะครับ คือ ฮาน กับ ชิวอี้ เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึงเข้ากันอยู่แล้ว แต่พอเปลี่ยนเป็น ฮาน กับ ฟินน์ หรือ ฮาน กับ เรย์ ก็ถือว่าเข้ากันได้ลงตัวเคมีลงล็อคกันมากๆ จริงๆ แต่ในขณะเดียวกันเคมีระหว่าง เรย์ กับ ฟินน์ ก็เข้ากันมาก แต่เปลี่ยนเป็น ฟินน์ กับ โพ ก็เข้าขากันซ่ะจริงๆ พูดได้ว่า เคมีของตัวละครในหนังเรื่องนี้เข้ากันจริงๆ เลยครับ ส่วนหนึ่งก็เพราะหนังมีฉากให้เล่นให้โชว์มากพอตัว เหมือนเราซึมซับไปโดยไม่รู้ตัวก็ว่าได้ ส่วนเรื่อง BB-8 นี่พูดได้คำเดียวว่าทุกคนจะต้องรักเจ้าดรอยด์ตัวนี้อย่างแน่นอน
ไฮไลท์สำคัญน่าจะอยู่ที่การที่ แฮร์ริสัน ฟอร์ด กลับมารับบทเป็น ฮาน โซโล ซึ่งในเอพพิโซดนี้นับว่าเป็นตัวละครจากต้นฉบับที่มีบทมากที่สุดแล้ว คือจะว่าไงดี ปู่ฟอร์ดยังคงเป็นฮานคนเดิมที่เสน่ห์ยังล้นเหลือ ความเท่ความกวนยังมาเต็มเหมือนเดิม การรอคอย 30 ปีครั้งนี้นับว่าคุ้มมากๆ ส่วนพวกนักแสดงใหม่โดดเด่นที่สุดคงต้องยกให้ เดซี่ย์ ไรด์ลี่ย์ ในบท เรย์ และ จอห์น โบเยก้า ในบท ฟินน์ หนังส่งมากสองคนนี้เจิดจรัสมากในหนังเรื่องนี้เรียกว่าเกิดเลยทีเดียว โดยเฉพาะยิ่งกับ เดซี่ย์ ไรด์ลี่ย์ ต่อจากนี้เธอคงจะเป็นนักแสดงหญิงที่โด่งดังคับฮอลลีวู้ดต่อไปอย่างแน่นอนเลย
ออสการ์ ไอแซ็ค ในบท โพ ดาเมร่อน, แคร์รี่ ฟิชเชอร์ ในบท เลอา มีบทให้โชว์พอตัว ส่วนพวกฝ่าย เฟิร์สท์ออร์เดอร์ มีบทเด่นสุดคือ อดัม ไดร์เวอร์ ซึ่งปกติ จริงๆ ผมไม่เคยมองว่า อดัม ไดร์เวอร์ หล่อเลยน่ะ แต่เรื่องฝีมือการแสดงอันนี้ยอมรับ แต่พอได่ดูเรื่องนี้ความคิดผมเปลี่ยนไปน่ะ คือ ไดร์เวอร์ นี่หล่อมาก แถมมีเสน่ห์แบบสุดๆ เลยทีเดียว ส่วนนักแสดงคนอื่นๆ นอกนั้นมีบทกันคนละนิดคนละหน่อยทั้ง เกวนโดลีน คริสตี้ ในบท กัปตันแฟซม่า และ ดอห์มนัลล์ กลีสัน ในบท เจเนรัลฮักซ์ (คนนี้บทไม่เยอะแต่มีฉากหนึ่งคุณพี่เล่นได้เหี้ยมมาก แบบว่าบทไม่เยอะแต่จำฝั่งใจเลยล่ะฉากนี้)
ไม่รู้จะพูดอะไรล่ะ เรื่องโปรดัคชั่น เทคนิคพิเศษ นี่ไม่ต้องพูดให้มากความล่ะ ระดับ ดิสนีย์ และ อินดันเทรียล ไลท์ แอนด์ แมจิค คงไม่มีคำว่ากระจอกแน่นอน .. ระบบ ไอแม็กซ์ หนังมีฉากหนึ่งที่มีฟุตเตจพิเศษแบบ คือฉาก มิลเลนเนี่ยม ฟอลคอน หนีการไล่ล่าบนดาวแจคคู ฉากนี้ทำได้โคตรตื่นตาตื่นใจ .. สุดท้าย ด้วยความที่หนังมีความลับเยอะแยะมากมายให้ไปไขให้ไปตามต่อใน เอพพิโซด 8 ที่จะฉาย พฤษภาคม 2017 (อีก 1 ปีครึ่ง) และกว่าจะถึงวันนั้น ขอพลังจงสถิตอยู่กับท่าน...
ความยาวทั้งหมด 135 นาที
คะแนน 9/10
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น