วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559

THE DIVERGENT SERIES: ALLEGIANT


THE DIVERGENT SERIES: ALLEGIANT / อัลลีเจนท์ ปฏิวัติสองโลก


ผู้จัดจำหน่าย : SUMMIT ENTERTAINMENT
สตูดิโอผู้สร้าง : RED WAGON ENTERTAINMENT
ผู้กำกับ : โรเบิร์ต ชเวนท์เก้ (FIGHTPLAN, RED, R.I.P.D.)
ประเภทของหนัง : ACTION | ADVENTURE | SCI-FI

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง


และแล้วก็เดินทางมาถึงการดัดแปลงนิยายเล่มสุดท้าย “ALLEGIANT” สู่การเป็นหนัง และก็ถือเป็นธรรมเนียมที่ทำกันจน เกร่อ คือการจับแยกแบ่งออกเป็นสองพาร์ท และในที่นี้คือ “THE DIVERGENT SERIES: ALLEGIANT” ที่ยังคงได้ โรเบิร์ต ชเวนท์เก้ ผู้กำกับจากภาคที่แล้วมากำกับสั่งลา ก่อนที่ภาคจบ ASCENDANT ที่จะฉาย ซัมเมอร์ ปีหน้า จะยกหน้าที่ผู้กำกับให้กับ ลี โทแลนด์ ครีเกอร์ จาก THE AGE OF ADALINE มากำกับแทนต่อไป ... เอาละครับคราวนี้เรามาว่ากันที่ความเห็นหลังได้ดูภาค อัลลีเจนท์ นี้กันบ้างดีกว่า

การดำเนินเรื่องของภาค อัลลีเจนท์ นี้ดำเนินเรื่องได้จืดชืดมากๆ ครับ ถึงแม้ฉบับหนังจะพยายามตีตนออกห่างจากต้นฉบับที่เป็นหนังสือ (ที่ทั้งยืดยาด, น่าเบื่อ แล้วก็ไม่สนุก) ด้วยการปู้ยี้ปู้ย้ำ เปลี่ยนเนื้อหา เปลี่ยนเส้นเรื่อง ด้วยการหยิบแค่โครงเรื่องมาดัดแปลง แต่ก็อย่างที่บอกหนังยำใหญ่ใส่หนังสือพอตัว (ทั้งๆ ที่ตัวหนังสือก็ไม่ได้มีอะไรเท่าไรนัก อ่านแต่ละบทนี่ยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขากว่าจะอ่านจบได้ ครึ่งหลังบางทีก็อ่านไม่รู้เรื่องเลยก็มี ฮ่าๆ) ด้วยการเปลี่ยนโลกดิสโทเปียให้เป็นหนังไซไฟจัดเต็ม (แต่ชวนหลับมากเพราะการเล่าเรื่องมากถึงมากที่สุด) แต่ถ้าเทียบกับเกณฑ์ที่สองภาคแรกทำไว้ ก็ถือว่าหนังคงเส้นคงวา ทำได้ตามมาตรฐานน่ะ (เหรอ?)


ทุกอย่างในหนังทำอะไรก็ดูง่ายไปหมดซ่ะจริงๆ ครับ ทั้งการช่วย เคเล็บ หนีออกมาจากคุก การปีนกำแพงหนีออกจาก ชิคาโก การหนีเอาตัวรอดเพื่อไปอีกฝั่งหนึ่ง การหนี การช่วย อะไรต่างๆ ในฉากไคลแม็กซ์ ทุกสิ่งทุกอย่างคือง่าย คือง่ายแบบแอบหลุดขำหลายรอบมาก (ฮ่าๆ) แต่หลักๆ ก็คือหนังมันน่าเบื่อแล้วก็ชวนหลับพอตัว แอบหาวหลายรอบมาก ยังดีที่หนังยังพอมีฉากแอ็คชั่น (สั้นๆ) พอปลุกไม่ให้หลับอยู่บ้าง

ด้านตัวละครถึงแม้ว่าหนังจะดำเนินเรื่องมาถึงภาคที่สามแล้ว แต่ถึงกระนั้นด้านตัวละครกลับไม่ได้พัฒนาไปจากภาคแรกเท่าไรนัก เรียกว่าไม่ได้พัฒนาไปไหนเลยดีกว่า ความสัมพันธ์ของตัวละครนำ ยังคงย่ำอยู่กับที่ โฟร์ (ธีโอ เจมส์) และ ทริซ (ไชลีน วู้ดลี่ย์) ภาคแรกเป็นยังไงภาคนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นพ่อแง้แม่งอนเหมือนเดิม มีแค่เรื่องของคู่พี่น้องอย่าง ทริซ และ เคเล็บ (แอนเซล เอลกอร์ท) เท่านั้นที่ดูเติบโตขึ้น ดูมีอะไรคืบหน้าและเปลี่ยนแปลงไป


นอกนั้นตัวละครอื่นๆ ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปไหนเลยครับ คริสติน่า ตัวละครของ โซอี้ คราวิตซ์ เป็นตัวประกอบยังไงภาคนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้นเสมอต้นเสมอปลาย ในขณะที่ ปีเตอร์ ของ พี่ไมลส์ เทลเลอร์ ไม่รู้ทีมเขียนบท (ทุกภาค) มีปัญหาอะไรกับ พี่ไมลส์ และตัวละครนี้หรือเปล่า รู้สึกย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกภาค เป็นตัวละครที่ดูไม่สำคัญเท่าไรนัก (ทั้งที่ในหนังสือเป็นตัวละครที่ดูมีมิติมากที่สุดแล้ว) ไหนจะเรื่องการที่หนังใช้ตัวละครและนักแสดงไม่คุ้มค่าเท่าไรนัก ทั้งๆ ที่มีนักแสดงระดับ นาโอมิ วัตต์ และ ออคเทเวีย สเปนเซอร์ และรวมถึง เจฟฟ์ แดเนี่ยลส์ หนังก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากการที่มีนักแสดงระดับนี้เลยแม้แต่น้อย

ที่น่าชื่นชมในภาคนี้ก็คงเป็นเรื่องภาพครับ ยอมรับว่าเรื่องภาพนี้สวยจริง เล่นกับสีแล้วดูอลังการเวลาขึ้นจอ IMAX มาก ... เอาจริงๆ อยากให้ภาคจบออกเดือนหน้าแทนที่จะเป็นซัมเมอร์ปีหน้าเลยน่ะ จะได้หมดภาระกับแฟรนไชส์นี้ไปๆ สักที คือเท่าที่ดูการที่ค่ายหนังจับหนัง ALLEGIANT แบ่งเป็นสองพาร์ทดูจะเป็นอะไรที่ไม่เวิร์คและไม่โอเคสักเท่าไรนัก (ถ้าจะพูดให้ถูกคือไม่โอมาตั้งแต่ตัวหนังสือก็ว่าได้) ตามรอย ฮังเกอร์เกมส์ ม็อคกิ้งเจย์ (พาร์ทแรก) คือหนังเต็มไปด้วยความยืดยาดและน่าเบื่อ ถือเป็นอีกแฟรนไชส์ที่น่าผิดหวังเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ (แต่พอภาคหน้าฉายเราก็จะกลับมาบ่นเหมือนเดิมอีกแหละครับ)...


ความยาวทั้งหมด 121 นาที
คะแนน 5/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger