วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

JASON BOURNE


JASON BOURNE / เจสัน บอร์น ยอดจารชนคนอันตราย


ผู้จัดจำหน่าย : UNIVERSAL PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : THE KENNEDY/MARSHALL COMPANY
ผู้กำกับ : พอล กรีนกราสส์ (THE BOURNE ULTIMATUM, CAPTAIN PHILLIPS)
ประเภทของหนัง : ACTION | THRILLER

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
“เจสัน (รี)บอร์น!! ทำไม?! เพื่ออะไร???”


หลังจากที่ เจสัน บอร์น หรืออีกนาม เดวิด เว็บบ์ รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง สะสางปัญหาทุกอย่างเรียบร้อย และตกลงไปในทะเลในตอนจบของ THE BOURNE ULTIMATUM เมื่อปี 2007 เราก็ไม่รู้ชะตากรรมว่าเป็นตายร้ายดีของ เจสัน บอร์น อีกเลย ซึ่งในภาคนี้นี่เองหนัง “JASON BOURNE” จะเล่าเรื่องหลังจากเหตุการณ์นั้น ชีวิตในยุค 2016 ของ เจสัน บอร์น (ซึ่งแน่นอนครับว่าถ้าจะดูภาคนี้ก็ควรที่จะดู บอร์น ไตรภาคแรกมาก่อน (THE BOURNE LEGACY ที่ โทนี่ กิลรอย ไม่ต้องดูก็ได้) ไม่งั้นได้งงแน่ อะไรคือ เทรดสโตน ใครคือ เดวิด เว็บบ์ ใครคือ นิคกี้ พาร์สัน มารู้จักกันได้ยังไง เพราะหนังมีหยิบยกไตรภาคแรก ขึ้นอ้างอิงมาพูดถึงอยู่เรื่อยๆ นั่นเอง)

เข้าเรื่องเลยละกันน่ะครับ ถ้าถามว่าสิ่งที่ชอบที่สุดในหนัง JASON BOURNE ภาคนี้ที่สุดคืออะไร ขอบอกเลยว่าคือฉากแอ็คชั่นในหนัง ฉากจลาจลไล่ล่ากันด้วยมอเตอร์ไซค์และรถต้นเรื่องที่กรีซ กับฉากไล่ล่ากันตามท้องถนนที่ ลาส เวกัส คืออย่างน้อยที่สุดมันก็ (ยัง) ทำให้รู้ว่านี่ก็เป็นหนังแอ็คชั่นทุนสูงราคา 120 ล้านเหรียญ เพราะนอกเหนือจากนั้นคือ หนังเข้าขั้นโคตรน่าเบื่อ คือแบบมีอะไรน่าเบื่อกว่านี้อีกไหม นั่งหาวทั้งเรื่อง ไตรภาคแรกเนื้อหามันดีมันเข้มข้น ทำมาตรฐานไว้สูงลิบ ภาคนี้หลายๆ จุดเหมือนเอาไตรภาคแรกมาดัดแปลงทำซ้ำ ดูหลักลอย ชวนเหนื่อยหน่ายซ่ะเหลือเกิน


จะพูดไงดี คือหนังจับต้นชนปลายไม่ถูก ดูโหวงๆ ชอบกล เนื้อหามันไม่ได้ลึกไม่ได้ชวนน่าติดตามเลยแม้แต่น้อย เหตุการณ์แฮ็คและจะเปิดโปงข้อมูลอารมณ์ สโนว์เดน ก็ไม่ได้เน้นไม่ได้เข้มอะไรขนาดนั้น หนังมันวนเวียนอยู่แค่ บอร์นโผล่, ตามหาบอร์น, ไล่ล่าบอร์น, ป้องกันบอร์นยังไงก็ได้ไม่ให้เข้าจุ้น หนังมันวนเวียนอยู่แค่นี้จริงๆ นะ คือมันมีมิติน้อยมาก ที่มาที่ไปของเรื่องก็น้อย แค่ตัวละคร นิคกี้ ของ จูเลีย สไตลส์ ไปแฮ็คข้อมูลโครงการลับแค่นั้นเอง เรื่องเลยวุ่นเลยเกิดขึ้น บอร์นก็โดนหางเลขไป เป็นที่มาของหนังภาคนี้แค่นั้นเอง

ถ้าจะพูดว่านี่เป็นหนังที่เจาะลึกไปที่อดีตของ เจสัน บอร์น หรือ เดวิด เว็บบ์ มันก็กระไรอยู่เพราะหนังเองก็พูดถึงผ่านๆ คือสรุปว่าบทหนังภาคนี้มันไร้ที่มาที่ไปจริงๆ นั่นแหละครับเห็นจุดอ่อนหลายๆ จุดของหนังเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องตัวละครโดยเฉพาะสองตัวร้ายในภาคนี้อย่าง หัวหน้า CIA อย่าง ดิวอี้ ของ ทอมมี่ ลี โจนส์ ก็แลดูเป็นตัวประกอบมากกว่าตัวร้าย เป็นตัวละครที่เราไม่เข้าใจอะไรเลย! เต็มไปด้วยความน่าผิดหวัง ในขณะที่อีกหน่ออย่าง ดิ แอสเซท (วินเซนท์ แคสเซล) ที่เป็นนักฆ่านักล่าที่ทำงานให้ CIA นี่หนักกว่า ดิวอี้ อีก ได้แต่วิ่งไปวิ่งมาโผล่นั่นโผล่นี่ตามคำสั่งของ ดิวอี้ และ เฮทเธอร์


ซึ่งถ้าไม่นับ บอร์น ของ แม็ตต์ เดมอน ที่มีบทเด่นเพราะเป็นตัวนำของเรื่อง ตัวละครที่เด่นจริงๆ ก็ เฮทเธอร์ ลี ของ อลิเซีย วิแคนเดอร์ นี่แหละเป็นตัวละครที่เด่นพอๆ กับ บอร์น มีส่วนสำคัญมีบทต่อหนัง (ที่ไม่ค่อยจะมีเนื้อหาเท่าไร) พอสมควร ส่วนตัวละครอื่นๆ บทจะมาก็มาจะไปก็ไปอย่างวุ่นวายเลยภาคนี้แถมจบบทตัวละครบางตัวได้ชวนผิดหวังมาก เอาจริงๆ เลย, จริงเนื้อหาภาคนี้ถ้าปั้นบทดีๆ มันน่าจะดีได้ไม่ยากนะ การเอาเรื่องโลกไซเบอร์มาผนวกเข้ากับหนังบอร์นมันเป็นอะไรที่น่าสนใจแต่ก็นั่นแหละหนังทำได้ผิดหวังมากๆ

อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าภาคนี้ชอบ ฉากแอ็คชั่นต้นเรื่องกับท้ายเรื่องของหนัง (อันที่จริงก็กลางเรื่องด้วย) คือมันเป็นเสน่ห์มันเป็นลายเซ็นของแฟรนไชส์ บอร์น ของ เจสัน บอร์น เลยน่ะที่ บอร์น สามารถหยิบจับเอาอะไรก็ได้มาเป็นอาวุธซึ่งภาคนี้ก็มีให้เห็นเหมือนเดิม แถมมุมกล้องอันเป็นเอกลักษณ์ก็ยังมีให้เห็นเหมือนเดิม, ก็รู้สึกดีที่ได้เห็นชีวิตหลังของ เจสัน บอร์น หลังจากตอนจบของ THE BOURNE ULTIMATUM เมื่อ 9 ปีก่อน แต่ก็น่าเสียดายที่ภาคนี้ไม่มีอะไรให้เราจดจำเท่าไร นอกเหนือไปจากฉากแอ็คชั่น!...


ความยาวทั้งหมด 123 นาที
คะแนน 6/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger