THE HANGOVER PART III / เดอะ แฮงค์โอเวอร์ ภาค 3
ผู้จัดจำหน่าย : WARNER BROS. PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : GREEN HAT FILMS, LEGENDARY PICTURES
ผู้กำกับ : ท็อดด์ ฟิลลิปส์ (THE HANGOVER, THE HANGOVER PART II, DUE DATE)
ประเภทของหนัง : COMEDY
“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”
มุมมอง
“เปลี่ยนสไตล์ เสน่ห์หายหมด บทสรุปแก๊งค์วูลฟ์แพ็คที่ขาดเสน่ห์”
ความรู้สึกแรกตอนดูและหลังดูหนัง ทำให้กลายเป็นว่าหนังพยายามจะฉีกแนวตัวเองจากการกินเหล้าและเมาค้างและทำเรื่องบ้าๆ จนต้องตามแก้ทีหลังที่กลายเป็นเหตุผลง่ายๆ ที่ทำให้หนังฮิต (โดยเฉพาะหมู่ผู้ชาย) จนได้มีโอกาศสร้าง ภาคสามในปีนี้แต่ว่าการพยายามฉีกแนวเปลี่ยนสไตล์ตัวเองเหมือนเป็นดาบสองคมซะงั้นแทนที่จะกลายเป็นความสดใหม่ในตัวเนื้อเรื่องดันกลายเป็นการฆ่าตัวเองให้ตายสนิทซะงั้นสำหรับ THE HANGOVER PART III ที่หลังจากภาคแรกเมื่อปี 2009 กลายเป็นงานฮิตเซอร์ไพรซ์ทำเงินไปกว่า 467 ล้านดอลล่าห์ และในภาคสองอีก 586 ล้าน!! แม้จะโดนเสียงวิพากย์ว่าเหมือนเอาภาคแรกมาทำใหม่ก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับจริงๆ ในภาคสองมันยังคงมีความสนุกอยู่ จนได้มีภาคสามในปีนี้!!
อย่างที่บอกหนังเปลี่ยนแนวตัวเองจากการเมาแฮงค์มาเป็นหนังอะไรก็ไม่รู้ จนทำให้เสน่ห์และเอกลักษณ์ที่เรารู้จักในสองภาคแรกหายไป ซึ่งอย่างที่บอกเหมือนเป็นการฆ่าตัวเองเพราะหนังไม่มีการเมา ไม่มีคนหาย และไม่มีงานแต่ง แต่จะมุ่งเน้นที่เรื่องราวของแก๊งค์วูลฟ์แพ็คเป็นหลัก แต่ก็นั้นแหละที่ทำให้จุดๆ ที่เป็นจุดขายของตัวเองหายไป! เข้าใจว่าหนังอยากจะนำเสนอเรื่องราวมิตรภาพของแก๊งค์วูลฟ์แพ็คเป็นหลักซึ่งตัวหนังทำออกมาได้ประมาณกลางๆ ไม่ดีแต่ก็ไม่ได้แย่อะไร พอตัวไป แต่จุดสำคัญที่ทำให้ภาคนี้ดูไม่รู้สึกก็คือมุกตลกและการดำเนินเรื่องและเนื้อหาที่ไม่มีอะไร ดูโล่งๆ เบาๆ มากเป็นพิเศษ ทำให้ความสนุกของหนังหายไปพอตัว
มุกตลกของหนังเท่าที่จำได้มีฮาอยู่หนึ่งมุก คือ มุกที่บุกบ้านที่เป็นฟุตเทจยาว และหากจะสโคปลงไปอีกจะบอกว่าฮาตรงมุกตาบอดสีของเฉา เท่านั้น และที่เรียกเสียงฮาได้ และนั้นเป็นมุกเดียวที่หนังสามารถทำให้หัวเราะได้ ส่วนมุกที่เหลือของหนังหนักไปทางฝืดและไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ส่วนการดำเนินเรื่อง งานนี้ก็หากต้องจัดหมวด THE HANGOVER PART III ก็อยู่ในหมวดการดำเนินเรื่องที่ไม่มีอะไรเลย เบาโหว่ง มาตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องกันเลยทีเดียว ทำให้ตลอดเรื่องของหนัง การดำเนินเรื่องดูลอยๆ และไม่มีอะไรเลย ส่วนประเด็นหนักๆ ที่หนังนำเสนอคือ การโตของตัวละครของอลัน และมิตรภาพของแก๊งค์วูลฟ์แพ็ค หนังนำเสนอประเด็นนี้ได้ธรรมดาที่สุดครับ ดูบางทีก็ไม่รู้หนังจะใส่มาทำไมประเด็นเนี่ย?
และใน THE HANGOVER PART III นี้ยังมีการใส่เอนด์เครดิตเข้ามาเพื่อหวังทำภาคต่อหากกระแสดี แต่ดูแล้วโอกาศนั้นไม่มีแน่ เพราะทั้งกระแสจากคนดูหนักไปทางติดลบซะส่วนใหญ่ และ การทำเงินหนังก็ทำได้แย่กว่า สองภาคที่ผ่านมาซะอีก ทำให้รับรู้ว่าการเปลี่ยนแนวบางทีก็ทำให้หนังพลาดได้เหมือนกัน เอาจริงๆ แม้ภาคสองจะแย่ขนาดไหนก็ยังรู้สึกว่าหนังมันยังมีความเป็น THE HANGOVER ผิดกับ PART III ที่ไม่เหลือความเป็น THE HANGOVER เลย โดยรวมๆ นี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่หากว่าสมมติจะมีภาคต่อก็ควรกลับไปสไตล์เดิม มีงานแต่ง มีปาร์ตี้สละโสด และเมาค้าง ก่อเรื่องวุ่นวาย ตามแก้ทีหลังมากกว่า
แต่เอาจริงๆ ก็มีความชอบอย่างหนึ่งเหมือนกันใน THE HANGOVER PART III ในฉากจบครับที่หนังตัดฉากแก๊งค์วูลฟ์แพ็คทั้ง 4 ตั้งแต่ PART I, PART II, PART III เดินเท่ตามสไตล์สลับไปที่ละภาคนั้นเป็นฉากที่รู้สึกว่าภาคนี้มันก็ยังมีอะไรให้รู้สึกว่าพอยิ้มได้อยู่แต่ก็แค่นั้นแหละครับ -- สำหรับการแสดง แบรดลี่ย์ คูเปอร์, แซค กาลาฟินาคิส, เอ็ด เฮลมส์ ยังเล่นได้ดีมีการแสดงที่เข้ากันสวนทางกับเนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่อง จัสติน บราธ่า หายหัวไปตลอดเรื่องเหมือนเดิม แต่ที่เด่นยังไงก็ยังเด่นยังงั้นมาเสมอต้นเสมอปลายคือ เฮียเฉา เคน จอง ที่ยังโดดเด่นขโมยซีนตามสไตล์ แม้เนื้อเรื่องจะธรรมดาแต่หากขาด เคน จอง หนังอาจจะแย่กว่านี้ก็เป็นได้ครับ...
สรุป
“THE HANGOVER PART III เป็นหนังที่เปลี่ยนสไตล์ที่ทำให้หนังเป็นที่รู้จักกลายเป็นหนังอีกรูปแบบหนึ่ง นั้นทำให้หนังไม่สนุก และขาดเสน่ห์ทั้งความฮา หรืออะไรก็ตามแต่ทั้งการดำเนินเรื่องหรือมุกตลก เคน จอง ยังเด่นเสมอต้นเสมอปลาย แต่โดยรวมหากรู้จักพวกเขามาตั้งแต่ภาคแรกนี่คือไฟต์บังคับต้องดู แต่จะดูแบบไหนก็ค่อยว่ากันในโรงหรือแผ่น!”
ความยาวทั้งหมด 100 นาที
คะแนน 6/10
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น