FAST & FURIOUS 6 / เร็วแรงทะลุนรก 6
ผู้จัดจำหน่าย : UNIVERSAL PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : ORIGINAL FILM
ผู้กำกับ : จัสติน ลิน (THE FAST & THE FURIOUS: TOKYO DRIFT, FAST & FURIOUS, FAST FIVE)
ประเภทของหนัง : ACTION | CRIME | THRILLER
“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”
มุมมอง
“แอ็คชั่นสุดมันส์กับแก๊งค์ทีมซิ่งหน้าเดิมที่ยังมันส์เหมือนเดิม แม้ในบางทีมันจะ...?”
นับจาก THE FAST & THE FURIOUS ออกฉายเมื่อปี 2001 ซีรี่ย์ FAST & FURIOUS ก็กลายเป็นหนังที่มาไกลเกินไปกว่าจะถอยหรือหันกลับแล้ว ยิ่งในภาคที่ 5 FAST FIVE หนังก็ยกระดับจากหนังแข่งรถดูเพลินจบแล้วจบเลยกลายมาเป็นหนังแอ็คชั่นอาชญากรรมที่ดันมีรถเป็นจุดขายสำคัญ และหนังก็มาตอกย้ำอีกครั้งใน FAST & FURIOUS 6 ที่เพิ่งลงโรงฉายในวันนี้ (23 พฤษภาคม 2013) เพราะหนังยกระดับความมันส์ขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งด้วยฉากแอ็คชั่นที่โอเวอร์กว่าทุกภาคที่ผ่านมา! พร้อมกับการกลับมาของทีมนักแสดงจากภาคที่ 5 เกือบยกชุด! นำโดยหัวเรือใหญ่ วิน ดีเซล, พอล วอล์คเกอร์, ดเวยนด์ "เดอะ ร็อค" จอห์นสัน พร้อมด้วยตัวร้ายหน้าใหม่อย่าง ลุค อีแวนส์ และนี่คือการสั่งลาของ จัสติน ลิน ผู้กำกับที่อยู่กับหนังมาตั้งแต่ภาคที่่ 3!!
หากถามว่าข้อดีอย่างแรกที่ FAST & FURIOUS 6 ทำได้ดีคืออะไรนั้นก็คือการสร้างความเชื่อมโยงหนังทุกภาคที่ผ่านมาเข้าด้วยกันแม้ภาคที่ถูกลืมอย่าง THE FAST & THE FURIOUS: TOKYO DRIFT หนังก็บรรจงต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ ซึ่งจุดเชื่อมโยงนี้กว่าจะถึงเวลาเฉลยก็ต้องหลังหนังจบซึ่งการเฉลยในครั้งนี้ก็เป็นการเปิดเผยตัวร้ายสำคัญในภาคที่ 7 ที่มาพร้อมประโยคที่ว่า "Dominic Toretto, You don't know me., You're about to." หรือแม้แต่การหาจุดเชื่อมในภาคที่ 4 อย่าง FAST & FURIOUS หนังก็เชื่อมโยงได้แบบแนบเนียนกับการกลับมาของตัวละครสำคัญอย่าง เล็ตตี้ ที่คิดว่าตายไปในภาคที่ 4 ซึ่งหนังก็อธิบายได้แบบแนบเนียน? หรือแม้แต่ตัวร้ายในภาค 4 อย่าง บราก้า!! หนังก็พากลับมาได้
ก่อนจะต่อความยาวสาวความยืดกลับมาสู่เนื้อหากันซักทีกับ "FAST & FURIOUS 6" อย่างที่บอกนี่คือหนังสั่งลาของ จัสติน ลิน (แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่อยากลาซักเท่าไรนักแถมหนังก็เสร็จสมบูรณ์ก่อนจะรู้ข่าว จัสติน ลิน ไม่กำกับภาค 7 ตั้งหลายเดือน) ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรที่กำลังจะว่าต่อจากนี้ หนังยกระดับฉากแอ็คชั่นมาจากภาคที่แล้วอยู่พอสมควรครับ ฉากแอ็คชั่นยังใหญ่โตมโหฬารโอเวอร์อยู่เหมือนเดิม อย่างฉากแอ็คชั่นต้นเรื่องในลอนดอน ฉากกลางๆ เรื่องที่สเปน หรือแม้แต่ฉากแอ็คชั่นสุดท้ายในสนามบินของกองทัพในประเทศสเปน หนังยังจัดว่าทำได้ออกมามันส์และโอเวอร์แต่ยังสนุกมากถึงมากที่สุดแบบจัดเต็มจัดหนักขายความมันส์จริงๆ
แต่สิ่งที่หนังมีมาเพิ่มเติมและยกระดับจากภาคที่หรือหลายภาคที่ผ่านมาแบบเห็นได้ชัดคือ ฉากแอ็คชั่นแบบตัวต่อตัว! ในภาคนี้ได้ จีน่า คาราโน่ อดีตนักชกสาว MMA มาแสดงพร้อมกับ โจ ทาสลิม นักแสดงจาก THE RAID: REDEMPTION ในบทตำรวจหญิงคู่หูของลุค ฮ็อบส์ และ ผู้ช่วยของ โอเว่น ชอว์ ตัวร้ายของเรื่องตามลำดับ ทำให้ภาคนี้นำจุดเด่นของนักแสดงสองคนมาสร้างเรื่องราวและความมันส์ในหนังได้ ซึ่งฉากแอ็คชั่นตัวต่อตัวหลายๆ ฉากทำออกมาได้มันส์มากครับ ให้อารมณ์ THE RAID: REDEMPTION ฉบับสั้นๆ 10 นาทีได้เลย โดยเฉพาะฉากแอ็คชั่นที่มี โจ ทาสลิม อยู่ในฉากมันคือความมันส์ 10 นาทีที่มันมันส์แบบสุดๆ ในอารมณ์อย่างแท้จริงครับ
โดยรวมเรื่องฉากแอ็คชั่นทั้งที่ใช้รถหรือไม่ใช้รถหนังทำออกมาได้ดีมากถึงที่สุดซึ่งมันก็เป็นจุดขายของซีรี่ย์นี้มาตั้งนานแล้ว ถึงมันจะโอเวอร์ไปหน่อยก็ตาม ยิ่งฉากช่วงท้ายที่แสดงความเวอร์ว่า "รันเวย์สนามบินอะไรเครื่องบินวิ่ง 20 กว่านาทีเครื่องไม่เทคออฟซักที" แม้หนังจะบอกว่าน้ำหนักเกินก็ตามแต่ในความเป็นจริง 3 นาทีก็บินได้แล้ว แต่สำหรับหนังตระกูลนี้ความเวอร์คือจุดขายหลัก คนดูอย่างเราคงไม่สนใจอยู่แล้ว ดังนั้นถามว่าฉากแอ็คชั่นภาคนี้สนุกไหมต้องบอกง่ายๆ เลยว่า มันจัดเต็มจริงๆ มันพีคมาก ดูอีก 4-5 รอบก็ไม่เบื่อ เพราะมันเพลินในฉากแอ็คชั่นที่หนังขนมานำเสนอให้เราจริงๆ แถมแอ็คชั่นการไล่ล่าด้วยรถในภาคนี้ยกระดับไปถึงขั้นถล่มรถถัง พังเครื่องบินกันแล้ว!!
แต่สิ่งที่ดูจะเป็นจุดอ่อนที่แพ้ภาคที่ FAST FIVE แบบสิ้นเชิงเลยคือการดำเนินเรื่อง ไม่ใช่ว่าการดำเนินเรื่องภาคนี้ไม่ดีหรือแย่อะไรประมาณนั้น ภาคนี้การดำเนินเรื่องอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากๆ แต่เมื่อยกภาคนี้ไปเทียบกับภาค 5 ที่ถูกยกให้เป็นภาคที่ดีที่สุดของหนัง FAST & FURIOUS 6 หนังดูตกไปหน่อยไม่ใช่ในการเล่าเรื่อง การดำเนินเรื่อง แต่เหมือนมันขาดสีสันอะไรไปบางอย่าง ไม่รู้สิอธิบายยากเหมือนกัน เหมือนตัวละครที่อยู่กับภาคแรกมาแต่ต้นอย่าง ไบรอัน โอ'คอนเนอร์ หรือ มีอา ทอเร็ตโต้ บทบาทน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด หรือแทบหายไปทั้งเรื่อง หรือขาดตัวสร้างสีสรรค์อย่าง 2 แสบอย่าง ริโก้ ซานโตส (ดอน โอมาร์) กับ เทโก้ เลโอ (เทโก้ คัลเดรอน) แม้จะมี โรมัน เพียรซ์ มากวนประสาทและมาสร้างสีสรรค์มากขึ้นแต่เหมือนเสน่ห์บางจุดในตัวละครมันหายไป
หรือแม้แต่ตัวร้ายอย่าง โอเว่น ชอว์ ก็ดูเปรียบเสมือนผู้ร้ายหนังเจมส์ บอนด์ ซะอย่างนั้น คืออธิบายว่าเก่งอย่างนั้นสุดยอดอย่างนี้แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ จบง่ายไปอะไรประมาณนี้ ตัวร้ายในภาค 3 ที่ถูกลืมอย่างสร้างปัญหาให้พระเอกได้มากกว่านี้ซะอีก ทำให้ภาคนี้เสน่ห์บางจุดมันหายไป, อย่างที่บอก บรอัน โอ'คอนเนอร์ และ มีอา ทอเร็ตโต้ บทบาทภาคนี้น้อยลงไป เพราะหนังดูจะไปมุ่งเน้นที่ตัว ดอมินิค ทอเร็ตโต้ (วิน ดีเซล) กับ ลุค ฮ็อบส์ (ดเวยนด์ "เดอะ ร็อค" จอห์นสัน) แทนทั้งยก ฮ็อบส์ ให้บทเหนือกว่า ไบรอัน หรือการที่หนังดูจะมุ่งเน้นกับการยกระดับความสัมพันธ์ของสองตัวนี้มากจนออกนอกหน้าเกินไปแต่ก็ต้องยอมรับอย่าง จุดนี้เองที่หนังก็ทำออกมาได้ดีมากๆ เหมือนกัน
ทั้งความสัมพันธ์ที่ยกระดับขึ้นมาจากภาคก่อน การร่วมมือในการทำงานตามล่า โอเว่น ชอว์ นี่คือจุดที่น่าสนใจจริงๆ ของหนังภาคนี้แม้จะเสียดายที่ตัวละครหลายๆ ตัวบทแทบหายเกลี้ยง แต่ก็ต้องเข้าใจว่า เดอะ ร็อค ค่าตัวแพงเลยต้องยอมๆ กันไป แต่จุดดีอีกอย่างที่พัฒนาขึ้นมาคงเป็นการได้เห็นฮ็อบส์พัฒนาความสัมพันธ์กับตัวละครอื่นๆ อย่าง เท้จ เป็นต้ย -- ไบรอัน กับ มีอา มีลูก บทแทบไม่มี ความสัมพันธ์ของ ฮาน และ จีเซล ก็พอไปได้ เท้จ ก็มีบทอยู่ประมาณหนึ่ง โรมัน ต้องกลายเป็นตัวสร้างสีสรรค์หลักแทนสองแสบ เล็ตตี้ กลับมามีบทบาทหลังจากนึกว่าตายไปแล้วถือเป็นจุดเซอร์ไพรซ์แกมหักมุมดีๆ ได้เลย -- แต่จุดที่หนังยังมีเอกลักษณ์อยู่นอกเหนือจากฉากแอ็คชั่นก็คือมุกตลกที่เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่นับบทตัวละครคือมุกตลกของหนังยังใช้ได้
แม้การปล่อยมุกจะมาได้แม้แต่ตอนแอ็คชั่นก็ตาม -- การดำเนินเรื่อง และ การเล่าเรื่ง จัสติน ลิน ยังสร้างความสนุกของหนังได้ผ่านการเล่าเรื่องที่กระชับฉับไวและไม่อยู่กับที่ หนังดำเนินเรื่องไปอย่างรวดเร็วมาก และ ไม่รู้สึกเบื่อกับตัวหนังแม้แต่น้อย ยิ่งมารวมกับฉากแอ็คชั่นที่เรียกว่าเสริฟ์มาแบบถ้าเรียกเป็นอาหารคงเป็น "บุฟเฟ่ต์" หนังใส่มาเป็นชุด มีให้พักกันบ้าง แต่พอกลับมาใส่แอ็คชั่นหนังก็จัดแบบไม่มีเก็บไว้ เทไพ่หมดมือ ที่ทำให้ดูคล้ายกับกรณีของ IRON MAN 3 ที่เทไพ่มาหมดมือเหมือนกันคือมีอะไรที่จะใส่ได้ ก็ใส่มันมาให้หมด ทำอย่างกับคือภาคสุดท้ายของหนังอย่างไงอย่างงั้น -- พูดถึงว่าทำอย่างกับคือภาคสุดท้ายของหนัง กลายเป็นงานใหญ่ต่อไปที่ เจมส์ วาน จะต้องมาสานต่อซะงั้นเพราะภาค 5 และ 6 คือสุดยอดมากๆ
ต้องดูกันว่า เจมส์ วาน จะจัดเต็มได้ขนาดไหน เพราะอย่างที่รู้กันใน เอนด์เครดิต คือการเปิดเผยตัวละครตัวร้ายในภาค 7! ที่เป็นถึงพี่ชายของ โอเว่น ชอว์ อย่าง เอียน ชอว์ ซึ่งรับบทโดย ...!! และในเอนด์เครดิตงานยากของ วาน คือต้องสานต่อเรื่องราวที่นำทุกภาคมาร่วมกันได้แล้วให้ต่อเนื่องต่อไป ต้องหาทางดึงนักแสดงภาค 3 กลับมาให้ได้โดยเฉพาะ ฌอน บอสเวลล์ (ลูคัส แบล็ค) ที่หากดึงมาได้ก็เหมือนเป็นการเติมเต็มจุดที่ขาดหายไปของตัวละครในภาค 6 บางตัวได้ไม่มากก็น้อย แต่ในความจริงที่อยากให้ดึงมาเพราะแฟนๆ คิดถึงมากกว่า -- ด้านการแสดงคงไม่ต้องพูดอะไรให้มากมาย วิน ดีเซล, พอล วอล์คเกอร์, ดเวยนด์ "เดอะ ร็อค" จอห์นสัน, จอร์ดาน่า บรูว์สเตอร์, มิเชลล์ โรดริเกวซ, ไทรีส กิ๊บสัน, ลูดาคริส, ซอง กัง, กัล กาด็อท
เราผ่านตาฝีมือของทีมนี้มาหลายๆ ภาคแล้วคงไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ แต่อยากจะพูดซักนิดถึง ลุค อีแวนส์ กับบทตัวร้ายของหนัง อีแวนส์ เล่นได้อารมณ์มากผ่านสีหน้าแววตาท่าทางและที่สำคัญคือ น้ำเสียง!! ที่มันช่างได้อารมณ์มากๆ (กรณีทำได้เกือบ กาย เพียรซ์ และ เบเนดิคท์ คัมเบอร์แบทช์) แต่เสียอย่างเดียวนึกว่าตัวร้ายเจมส์ บอนด์ -- ส่วนประเด็นที่หนังใส่มาคือเรื่องครอบครัวและคำสัญญา ดั่งบทสรุปตอนท้ายตอนกินอาหาร ซึ่งโรมัน เป็นคนพูดซึ่งพูดว่าอะไรต้องไปดูเอาเอง แต่เมื่อดูทั้งเรื่องแล้วได้ฟังประโยคนี้คงพอเข้าใจง่ายๆ ว่า คำสัญญา และ คำว่าครอบครัว มันมีคุณค่าต่อตัวละครในเรื่องมาก และหนังจบเรื่อง ไตรภาคที่ 2 ได้ดี และเดี่ยวค่อยว่ากันในไตรภาคหน้า 7 - 8 - 9 ที่จะตามมาตั้งแต่ปีหน้า...
สรุป
“FAST & FURIOUS 6 เป็นหนังแอ็คชั่นที่มันส์มากๆ ทั้งที่อยู่บนรถและไม่อยู่บนรถ เนื้อเรื่องอยู่ในเกณฑ์ดีมากๆ แต่เสียเพียงอย่างเดียว บทบาทตัวละครบางตัวน้อยลงไป แต่หากหวังจะมาดูเรื่องนี้คงพลาดแล้วล่ะ แต่หากหวังจะมาดูแอ็คชั่นสุดมันส์เนี่ยล่ะคือคำตอบที่สมเหตุสมผล อะดรีนาลิน มาแน่ แม้หนังจบอะดรีนาลินก็ยังอยู่กับการเปิดเผยคนคลั่งตัวร้ายภาคหน้า!!”
ความยาวทั้งหมด 130 นาที
คะแนน 9/10
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น