MALEFICENT / มาเลฟิเซนท์ กำเนิดนางฟ้าปีศาจ
ผู้จัดจำหน่าย : WALT DISNEY STUDIOS MOTION PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : ROTH FILMS
ผู้กำกับ : โรเบิร์ต สตอร์มเบิร์ก
ประเภทของหนัง : ACTION | ADVENTURE | FAMILY
“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”
มุมมอง
“งานตีความตำนาน เจ้าหญิงนิทรา ผ่านมุมมองของ มาเลฟิเซนท์”
'เราอยากสร้างหนังที่เป็น THE DARK KNIGHT ของเรา' คือประโยคที่ผู้บริหารของดิสนีย์กล่าวไว้ก่อนจะประกาศหยิบอนิเมชั่นระดับตำนานอย่าง SLEEPING BEAUTY (เจ้าหญิงนิทรา) ขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่เตรียมทำเป็นภาพยนตร์คนแสดงแต่หนนี้ตัวละครที่จะเล่าไม่ได้จะเล่าไปที่เรื่องราวของ เจ้าหญิงออโรร่า แต่หนนี้จะเล่าเรื่องตัวร้ายระดับตำนานผู้สาบเจ้าหญิงอย่าง มาเลฟิเซนท์ ! และคนที่จะมารับบทนี้คือ 'แองเจลิน่า โจลี่' นั่นเอง ส่วนเจ้าหญิงออโรร่าก็ได้แก่ 'แอล แฟนนิ่ง' ซึ่งยังสมทบด้วย ชาร์ลโต้ คอปเลย์, แซม ไรลีย์, ไอเมลด้า สตอนตัน, เลสลีย์ แมนวิลล์ และ จูโน่ เทมเปิล และหนังจะกำกับโดยเจ้าของสองรางวัลออสการ์ออกแบบศิลป์นาม โรเบิร์ต สตอร์มเบิร์ก ผู้อยู่เบื้องหลังโลกอันวิจิตรใน AVATAR, ALICE IN WONDERLAND และ OZ: THE GREAT AND POWERFUL นั่นเอง
“เราขอพาคุณไปทบทวนอีกครั้ง ว่าคุณรู้จักตำนานนี้ดีพอ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...” หนังเปิดเรื่องด้วยคำพูดอันน่าสงสัยผ่านน้ำเสียงของหญิงปริศนา ที่ตอนนี้คุณจะยังไม่รู้ว่าเธอเป็นใครแต่เมื่อหนังจบคุณจะรู้เอง เปิดด้วยคำพูดนี้เหมือนเป็นการถามคนดูว่าที่คุณมาดูหนังเรื่องนี้คุณมั่นใจงั้นสิน่ะว่าคุณน่ะรู้เรื่องนี้ดีแล้ว ไอ้สิ่งที่คุณรู้น่ะบางทีมันอาจจะไม่จริงเหมือนตำนานอื่นๆ ที่เล่าขานผ่านยุคสมัยจนบิดเบือนไปเรื่อยๆ หนังเลยถามว่ารู้จริงหรือไม่นั่นแหละ หลังจากนั้นหนังก็พาคนดูไปพบกับตำนานอันแท้จริงระหว่าง เจ้าหญิงออโรร่า กับ มาเลฟิเซนท์ ซึ่งตำนานจะเป็นแบบไหนก็เชิญไปพิสูจน์กันเองตามโรงภาพยนตร์ใกล้บ้านครับ
เอาล่ะมาว่ากันถึงตัวหนัง MALEFICENT ตามความรู้สึกก็อย่างที่บอกไปหนังเน้นไปที่เรื่องราวของ มาเลฟิเซนท์ ตัวร้ายที่น่าสะพรึงจาก เจ้าหญิงนิทรา หนังที่เป็นการตีความใหม่ (ถ้าหาว่ากระแดะไปมั้ยที่เรียกตีความใหม่เพราะอันที่จริงพูดจริงๆ นี่มันคือ รีบู๊ต - เอ๊ะ! อะไรน่ะมันคืออันเดียวกันงั้นเหรอ?) ที่เล่าเรื่องในมุมมองใหม่ผ่านสายตาตัวร้ายของ มาเลฟิเซนท์ ที่มีต่อ ราชาสเตฟาน (พ่อของออโรร่า) กับความรู้สึกที่มีต่อ ออโรร่า ทำให้หนังเล่าเรื่องใหม่ได้อย่างเข้มข้นและดูสดใหม่ (แม้เรื่องมันจะรู้ๆ กัน) ทำให้รู้ว่า ราชาสเตฟาน ไม่ได้มองโลกในแง่ดีเหมือนต้นฉบับแต่มองโลกในแง่ร้ายกันแบบสุดๆ แถมราชาเนี่ยแหละที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดซ่ะเอง! (ซึ่งทำให้เรารู้เลยว่าทำไม มาเลฟิเซนท์ ถึงสาปเจ้าหญิง)
ส่วนออโรร่าเห็นจากต้นฉบับยังไงฉบับนี้ก็เหมือนเดิม แต่ที่สดใหม่จริงๆ คือแง่มุมความสัมพันธ์ระหว่าง มาเลฟิเซนท์ กับ ออโรร่า ที่ได้เห็นมุมมองที่ไม่ได้เห็นกันในต้นฉบับ ซึ่งการที่หนังสโคปเรื่องราวให้แคบๆ ไม่กี่ตัวละคร (มาเลฟิเซนท์, ออโรร่า, สเตฟาน และ เดียวัล (อีกาของมาเลฟิเซนท์)) ทำให้รู้สึกดีที่ว่า นางฟ้าสามสี ไม่ค่อยมีบทเท่าไรเพราะสำหรับในต้นฉบับตามความรู้สึกสามนางฟ้ามันเด่นไปและเป็นสามตัวละครที่ทำให้หนังทั้งเรื่องโคตรน่าเบื่อซึ่งดีมากเพราะการปรากฏตัวน้อยๆ ทำให้ไม่รำคาญแถมดูน่ารักเข้ากับเนื้อหาดี
กลับมาว่าที่เรื่อง มาเลฟิเซนท์ กับ ออโรร่า กันต่อ หนังเองพาคนดูไปเห็นมุมมองที่น่ารักของมาเลฟิเซนท์ที่มีต่อออโรร่า เรียกได้ว่านี่เป็นการล้อเรื่องราวมาเลฟิเซนท์ก็ว่าได้ ตีความให้ตัวร้ายระดับตำนานให้ออกมาดูฟรุ้งฟริ้งน่ารักจนเราต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อมาเลฟิเซนท์ซ่ะใหม่ ไม่ใช่นางมารร้ายเหมือนกับต้นฉบับที่เคยเห็น แต่มีมุมมองที่ลึกมากกว่านั้น ทำให้เราทั้งรักและสงสารมาเลฟิเซนท์ก็ว่าได้ อีกทั้งตัวหนังเองได้เพิ่มบทบาทใหม่ให้กับตัวละครอีกาคู่ใจของ มาเลฟิเซนท์ อย่าง เดียวัล ให้มีบทบาทมากขึ้นและดูน่ารักมีเคมีเข้ากับมาเลฟิเซนท์ดี
ซึ่งในการตีความใหม่นี้คนที่เป็นจุดเด่นเลยคือ แองเจลิน่า โจลี่ คุณแม่โจลี่พูดได้ว่าเธอตีบทมาเลฟิเซนท์ได้แตกอนึ่งดิสนีย์จ้างมาร้อยแต่เธอเล่นซ่ะล้านอะไรประมาณนี้ นึกไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าไม่ใช่เธอแล้วใครจะรับบทและเล่นได้ทรงพลังขนาดนี้ เรียกได้ว่า โจลี่ สามารถแบกหนังทั้งเรื่องได้เอาคนดูได้อย่างอยู่หมัดจริงๆ ทำให้นักแสดงคนอื่นๆ ดูดรอปไปเลยทั้ง แอล แฟนนิ่ง, แซม ไรลี่ย์ โดยเฉพาะ ชาร์ลโต้ คอปเลย์ ในบท ราชาสเตฟาน นี่ดูไม่จืดเลย คอปเลย์เล่นได้เหมือนคนเมาทั้งไหนจะพูดไม่รู้เรื่องอีก กลายเป็นว่าคนที่รับบท สเตฟาน ตอนเด็กยังเล่นดีกว่าอีก (เศร้าใจแทน)
โรเบิร์ต สตอร์มเบิร์ก กับงานเดบิว สามารถเล่าเรื่องราวเดิมๆ ให้ดูใหม่ในมุมมองใหม่ ทำหนังให้มีทั้งแง่ดราม่าที่ผสมไปกับอารมณ์หวานแหววสไตล์ดิสนีย์ทั้งโรแมนติคและมุกตลก งานหนังเลยดูออกมาสนุกและไม่น่าเบื่อสามารถติดตามไปจนจบได้แบบไม่เบื่อ (จริงๆ ถ้าเอาดีๆ หนังมันไม่ได้เล่าอะไรมากนักดำเนินเรื่องแบบเส้นตรงอย่างเดียวนี่แหละ) แต่ถึงกระนั้นสตอร์มเบิร์กก็ทำหนังได้สนุกจริงอะไรจริง แถมยังอุตส่าห์ใส่ฉากแอ็คชั่นใหญ่ๆ ลงไปได้ขนาดนั้นแถมยังไม่ทิ้งลายดีกรีสองออสการ์เสกโลกในหนังเรื่องนี้เนรมิตให้มันออกมาดูสวยงาม (CG ล้วนๆ)
สามมิติไม่ค่อยเท่าไรถ้าเทียบกับ OZ: THE GREAT AND POWERFUL ด้านเสียงได้ดูในระบบ DOLBY ATMOS ก็ไม่เท่าไรอีกนั่นแหละ แต่ถึงจะไม่เท่าไรแต่การได้ดูหน้าสวยๆ ตอนหลับของ แอล แฟนนิ่ง กับการแสดงขั้นเทพของ แองเจลิน่า โจลี่ ก็คุ้มแล้วครับ อย่างน้อยก็ไม่เสียดายเงินล่ะครับ -- 'คุณเชื่อสิน่ะว่าตำนานที่รู้มามันคือเรื่องจริง? ทำไมน่ะเหรอก็เพราะฉันคือ... ยังไงล่ะ'...
ความยาวทั้งหมด 97 นาที
คะแนน 8/10
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น