วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557

TRANSFORMERS: AGE OF EXTINCTION


TRANSFORMERS: AGE OF EXTINCTION / ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 4: มหาวิบัติยุคสูญพันธุ์


ผู้จัดจำหน่าย : PARAMOUNT PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : HASBRO, DI BONAVENTURA PICTURES
ผู้กำกับ : ไมเคิล เบย์ (ARMAGEDDON, TRANSFORMERS)
ประเภทของหนัง : ACTION | ADVENTURE | SCI-FI

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
“สงครามจักรกลถล่มจักรวาลยังดำเนินต่อ! 
กับงานแอ็คชั่นที่มาพร้อมกับโฆษณาแฝงชุดใหญ่!!”


การกลับมาเป็นหนที่สี่ของแฟรนไชส์ ทรานส์ฟอร์เมอร์ส ที่ยังไงก็ยังคงไม่ใช่หนสุดท้าย เพราะจากนี้เราคงได้ดูกันอีกยาวอีกหลายตอน! แต่คนนี้เขาบอกว่านี่เป็นหนสุดท้ายแล้ว (จริงเหรอ?) สำหรับผู้กำกับเจ้าพ่อหนังแอ็คชั่นถล่มเมืองอย่าง 'ไมเคิล เบย์' กลับมาหนนี้กลับนักแสดงนำชุดใหม่ และบรรดา ออโต้บอทส์ หน้าเดิม (ผสมหน้าใหม่สามตัว) กับ ดีเซ็ปติค่อนส์ กลุ่มใหม่ (เหรอ???) ที่หนนี้มาพร้อมกับ นักล่าค่าหัวที่ไม่อยู่ฝ่ายใด และ ไซเบอร์ตรอนรุ่นแรกที่มาถึงโลกกลุ่มแรก ไดโนบอทส์ ใน TRANSFORMERS: AGE OF EXTINCTION !

ถ้าหากถามว่าอะไรคือจุดอ่อนที่ควรจะกำจัดที่สุดของแฟรนไชส์นี้แน่นอนว่าต้องเป็น เมกะทรอน รำคาญๆ ตายยากตายเย็นจริงๆ จะภาคห้าแล้วก็ไม่ตายสักที เอ้ย!! ไม่ใช่ๆ! แน่นอนว่าคือในส่วนของบทภาพยนตร์ ถ้าไม่นับภาคแรกแล้ว ก็ต้องยอมรับอย่างนึงเลยว่าบทหนังของแฟรนไชส์นี้มันอ่อนมาก อ่อนแอจนอยากจะเศร้าเลย เรียบไม่ต่างอะไรกับผ้าเพิ่งรีดเลยทีเดียว ทั้งภาคสอง REVENGE OF THE FALLEN และภาคสาม DARK OF THE MOON ไอ้ภาคสองก็มีปัญหาการสไตรค์หยุดงานของอุตสาหกรรมคนเขียนบท ไอ้ภาคสาม เมแกน ฟ็อกซ์ ไม่กลับมารับบทนางเอก ก็ยังดีที่ เอห์เรน ครูเกอร์ ยังลากบทของภาคสามปิดไตรภาคแรกไปได้ด้วยดี


เพราะงั้นภาคที่สี่ถือเป็นบททดสอบครั้งสำคัญของหนังตระกูลนี้เพราะนี่เป็นงานผสมที่เป็นทั้งภาคต่อและก็รีบู๊ตไปในตัว (ไม่นับบรรดาออโต้บอทส์) งานหนักจึงตกเป็นของ เอห์เรน ครูเกอร์ เหมือนเดิมที่จะต้องมาปั้นบท AGE OF EXTINCTION ซึ่งถือว่าโชคดีที่ระหว่างการเตรียมงานสร้างไม่มีปัญหาอะไรให้มากวนใจ ครูเกอร์ สักเท่าไรนัก ทำให้โชคดีว่าภาคนี้เป็นบทหนังที่สมบูรณ์ของจริง ทำให้เห็นได้เด่นชัดว่าบทหนังยังคงราบเรียบอยู่ ... แต่เป็นการราบเรียบที่ไม่ได้ดูไปแบบกุมขมับไประหว่างดูแบบถ้าหนังไม่มีฉากแอ็คชั่นคงไม่ดู แต่เป็นราบเรียบที่เห็นได้ชัดว่าบทมันมีอะไรมากกว่าเป็นหนังหุ่นยนต์ตีกัน คือหนังพยายามเน้นไปที่ดราม่าในส่วนมนุษย์มากกว่าจะเน้นที่บรรดาหุ่นจากไซเบอร์ตรอนทั้งหลายแบบตรงๆ

ทำให้เห็นได้ชัดว่าระหว่างทางที่หนังจะโหมโรงไปสู่ฉากแอ็คชั่นหนังมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากกว่าเดิม อย่างน้อยที่สุดหนังก็เล่าเรื่องแบบเรียบๆ แต่ก็มีส่วนที่ทำให้เราติดตามหนังไปได้ตลอดคืออย่างน้อยมันก็ทำให้เราติดตามหนังได้ไปจนจบโดยไม่รู้สึกเบื่อหรือกุมขมับเหมือนภาคสองและสาม (หรือจะพูดอีกนัยๆ ว่าที่ติดตามทั้งเรื่องนี่แท้จริงก็เพื่อรอ กริมล็อค และ แก๊งค์ไดโนบอทส์ ก็ว่าได้ แต่แหม่ เบย์หลอกดาว รอมันทั้งเรื่องแต่แท้จริงแล้วแบบว่า... ไปดูในหนังกันเอง) แต่แม้หนังมันจะวนอยู่ไม่กี่เรื่องทั้ง พ่อและลูก, ความรักของวัยรุ่น หรือแม้แต่ ความผิดพลาดของมนุษย์ที่ทำพลาดอะไรสักอย่าง แต่เอาน่าบทหนังก็โอเคล่ะน่ะ (ก็ดีกว่าภาคก่อนๆ ที่ไม่รู้จะอะไรก็ปล่อยมุกพร่ำเพรือล่ะน่ะ)


... ไอ้มุกตลกภาคนี้ยังพอมีอยู่แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก หนักไปทางล้อเลียนด้วยซ้ำ เหมือนครูเกอร์พยายามล้อเลียนพี่เบย์และสตูดิโอทั้งหลายด้วยซ้ำ จำได้มีฉากนึงต้นๆ เรื่องที่ตัวละคร เค้ด ของ มาร์ค วอห์ลเบิร์ก ไปโรงหนังเก่าแล้วมีตัวละครพูดออกมา หนังสมัยนี้มันน่าเบื่อมีแต่ภาคต่อไม่ก็รีบู๊ต กร๊ากกก ล้อได้เจ็บมาก สักแปปก็จะมีอีกตัวละครพูดมาว่าเอากล้องไปซ้อมดูสิยังใช่ได้อยู่ ดีๆ อาจจะเป็น IMAX ด้วย กร๊ากกกก ล้อได้เจ็บปวดอีกแล้ว นอกนั้นมุกก็มีบ้างไม่มีบ้าง ...

จริงๆ ในส่วนของบทถือเป็นเรื่องรองจริงๆ เพราะเชื่อว่าที่มาดูกันนี่มาเพื่อดูความพินาศและฉากแอ็คชั่นมากกว่าแน่นอนเพราะงั้น ไมเคิล เบย์ จัดเต็มตามคำประสงค์ครับ ... ไมเคิล เบย์ จัดเต็มในส่วนของแอ็คชั่นครับหลังจากปูเรื่องอยู่สักพักใหญ่ ซึ่งพอผ่านตรงนั้นมาได้ขอบอกเลย สุดตรีนครับ ถ้าจัดระดับความเอพิคของฉากแอ็คชั่นก็ใหญ่ขึ้นกว่าภาคก่อนๆ ไล่ตั้งแต่ที่ กัลวาตรอน และ ล็อคดาวน์ ไล่ตาม ออพติมัส กลางถนน ไล่ไปถึงฉากที่สู้กันในฮ่องกงที่ในหนังเรื่องนี้ฮ่องกงไม่ต่างอะไรกับเป็นอีกตัวละครก็ว่าได้ หนังจัดเต็มความพินาศให้แก่ ฮ่องกง แบบ นอน-สต็อป เกือบชั่วโมงได้ คือถ้าจะไปดูฉากแอ็คชั่นขอบอกว่าคุ้มค่ามาก


ยังไงซ่ะ ไมเคิล เบย์ ก็รู้ว่าคนดูต้องการอะไรแล้วก็ตอบโจทย์สิ่งที่ผู้ชมต้องการได้แบบถึงพริกถึงขิงมากคือนับแต่บุกฮ่องกงนี่ถือว่าสุดติ่งกระดิ่งแมวมาก ยิ่งหลังจากที่ออพติมัสเมาอะไรสักอย่างอยากได้พรรคพวกใหม่แล้วไปปลุกกริมล็อค แล้วตบคว่ำสักทีอยู่ๆ ได้เป็นพวกซ่ะงั้น (เดี๋ยวเด่ ไดโนบอทส์ ตูกากขนาดแค่โดนตบกรามหลุดง่ายขนาดนี้เชี่ยวเหรอ) หลังจากนั้นคุณก็ได้แค่ บูม! ตู้ม! ปัง! บูม! ตู้ม! ปัง! บูม! ตู้ม! ปัง! บูม! ตู้ม! ปัง! อีกประมาณกว่าสามสิบนาทีที่เหลือ เป็นสามสิบนาทีสุดท้ายที่พอดูจบคุณก็อาจจะเกิดอาการที่เรียกว่าเมาระเบิดเลยทีเดียว (แต่ถ้าคุณดูในระบบ IMAX คุณจะได้อาการเมาภาพที่มันยืดๆ หดๆ แทบจะทุก 30 วินาทีเป็นของแถมไปด้วย)

ถ้าไม่นับ เจมส์ คาเมรอน ก็ต้องบอกว่า ไมเคิล เบย์ นี่แหละที่เป็นเด็กเนิร์ดสาขาทดลองของใหม่ตลอดเวลางานนี้พี่เบย์ของเราได้ทดลองกล้องแบบใหม่ของ IMAX เป็นคนแรก กล้องที่มีสมญานามว่า กล้องดิจิตอล IMAX 3D ที่มีขนาดเล็ก พี่เบย์จัดเต็มฉาก IMAX ในหนังเรื่องนี้ไปกว่า 60% ของจาก 165 นาทีของหนัง (ที่มาพร้อมกับทุน 165 ล้าน เฉลี่ย 1 นาทีของหนังใช้เงิน 1 ล้านเหรียญ!) ผลที่ได้คือภาพที่เดี๋ยวยืดเดี๋ยวหดแบบไม่จำเป็น (ตาปรับขนาดภาพไม่ทัน) พี่เบย์ครับฉาก IMAX ผมว่าใส่ในฉากแอ็คชั่นจะดีกว่าน่ะ ไอ้ตัวละครยืนคุยกันนี่ไม่ต้องใช้ฉาก IMAX ก็ได้ ก็ถ้าไม่นับตรงนี้ฉากยืดใน IMAX พอเป็นฉากแอ็คชั่นนี่อลังมาก และก็ปวดตามาก คือภาพมันสว่างเกิน แถม 3D ก็ทำได้ดีเกินไป


ด้านงานภาพวิชวลมาถึงสี่ภาคแล้วคงไม่มีอะไรต้องพูดแล้วล่ะ มาพูดถึงแคสท์นักแสดงชุดใหม่ทั้ง มาร์ค วอห์ลเบิร์ก, นิโคล่า เพลตซ์, แจ็ค เรย์นอร์ หรือแม้แต่ สแตนลีย์ ทุชชี่ และ หลี่ปิงปิง โอเคแคสท์ชุดนี้ดูดีกว่าชุดของ ไชอา ลาเบิฟ, เมแกน ฟ็อกซ์, จอช ดูฮาเมล เยอะ หนังดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เพราะ มาร์ค วอห์ลเบิร์ก ตัวละครนำหญิงก็ไม่ได้ขายเซ็กซี่แต่มาขายความน่ารักแทน (ฮ่าๆ) ตัวละครนำชายวัยรุ่นก็ไม่ได้พูดมาก ... หรือจริงๆ แทบไม่ได้พูดเลย มีตัวสร้างสีสันอย่าง ทุชชี่ โอเคเลยว่านักแสดงชุดนี้ลงตัวกว่าแคสท์ของไตรภาคแรกในด้านเคมี ก็ดูกันไปว่าท้ายที่สุดแคสท์นี้ในภาคต่อๆ ไปอย่าได้มีปัญหาเลย (จะด่าให้สัญญากันแล้วนี่ว่าจะรักตลอดไปนี่น่ะ)

อนึ่งก็นับว่านี่ถือเป็นการสั่งลาแฟรนไชส์ของ 'ไมเคิล เบย์' อย่างงดงามและได้ใจของทั้งคนดู (ที่ได้ดูฉากแอ็คชั่นจัดเต็ม), ผู้สร้าง (ที่ได้เงินถล่มแน่) และแน่นอน สปอนเซอร์ (ที่มาเต็มอะไรเต็ม ชื่อสิ้นค้าปลิวให้ว่อน ตัวละครหยิบน้ำขึ้นมาแดกส์ เอ้ย! ดื่ม พร้อมโชว์สปอนเซอร์ รถคว่ำโชว์ยางปีดี (กู้ดเยียร์) หรือแม้แต่ ยืนคุยอยู่ดีๆ ตัวละครก็พูดออกมาว่า เรดบูลส์) ถือเป็นการสั่งลาที่ วิน-วิน ของทุกฝ่ายจริงๆ (ส่วนพี่เบย์จะกลับมาอีกครั้งในภาคห้าหรือไม่ก็ลุ้นกันหน่อยน่ะ)...


ความยาวทั้งหมด 165 นาที
คะแนน 8/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger