วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

KICK-ASS 2


KICK-ASS 2 / เกรียนโคตรมหาประลัย 2


ผู้จัดจำหน่าย : UNIVERSAL PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : UNIVERSAL PICTURES, MARV FILMS, PLAN B ENTERTAINMENT
ผู้กำกับ : เจฟฟ์ แวดโลว์ (NEVER BACK DOWN)
ประเภทของหนัง : ACTION | COMEDY | CRIME

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
“กัดเจ็บและเสียดสี มันส์และบันเทิงไม่ต่างจากภาคแรก”


KICK-ASS ภาคแรกออกฉายไปเมื่อปี 2010 ด้วยทุนสร้างแค่ 30 ล้านดอลล่าห์แต่สามารถเก็บรายรับรวมทั่วโลกมา 96 ล้านดอลล่าห์ซึ่งแน่นอนว่ามันกำไรแถมตัวหนังเองก็ไปได้สวยกับทางตลาด DVD และ BD ทำให้แน่นอนว่าภาคต่อต้องมีซึ่งผลที่ออกมาก็คือ KICK-ASS 2 ที่งานนี้ แมธธิว วอห์น ผู้กำกับของภาคแรกถอยไปเป็นแค่โปรดิวเซอร์และส่งไม้ต่อให้ เจฟฟ์ แวดโลว์ (NEVER BACK DOWN) มารับหน้าที่กำกับและเขียนบทในภาคนี้แทนซึ่งกลุ่มนักแสดงหลักๆ จากภาคแรกก็กลับมาเกือบหมดขาดก็แค่ นิโคลาส เคจ ในบท บิ๊กแดดดี้ ที่ตายไปตั้งแต่ภาคที่แล้วแต่ก็ไม่ต่างเท่าไรเพราะในภาคนี้ก็ได้ จิม แคร์รี่ ยอดนักแสดงตลกชื่อดังมารับบทหลักแทน พร้อมการกลับมาของ อารอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน และ โคลอี้ เกรซ มอเร็ตซ์ ในบทหลักของเรื่อง!!

ถ้าติดใจความแสบในการล้อเลียนหนังหรือคอมิคส์อันเกี่ยวข้องกับสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า "ซูเปอร์ฮีโร่" ใน KICK-ASS 2 หนังยังจัดเต็มและล้อเลียนได้แสบกันถึงทรวงใน แต่ที่ดูจะแสบมากขึ้นคือการกัดเจ็บๆ แบบเนียนๆ กับภาพยนตร์ในยุคนี้ผ่านของประกอบฉากหรือคำพูดสุดเจ็บ อาทิ “ตูเกลียดหนังรีบู๊ต” ที่ไอ้เจ้าเดฟใส่นอนหรือในช่วงท้ายที่ใกล้จบกับคำพูดของ เกรียนโคตร กับคำว่า “ชีวิตไม่ได้เหมือนหนังน่ะถ้านายตายก็ไม่มีภาคต่อแล้วน่ะ” ซึ่งตรงนี้แหละหนังเรียกเสียงฮาได้แบบสุดๆ แต่ที่ดูจะเจ็บกว่าคือพฤติกรรมแปลกของตัวละครอย่าง ไอ้ระย่ำซั่มแม่ ที่มักสวนทางกับสิ่งที่จะทำอาทิจะข่มขืนแต่ดันไม่มีอารมณ์ทางเพศอะไรอย่างนี้ ซึ่งตัวหนังยังจัดว่าเพลินพอตัวแถมก็ไม่ได้รู้สึกว่าหนังจะแย่อะไรเหมือนนักวิจารณ์ต่างประเทศบอกมา


ความรุนแรงของหนังยังคงรุนแรงเสมอต้นเสมอปลายเพราะถ้าไม่รุนแรงงั้นจะเอาเรต R มาทำซากอะไร ในภาคนี้เลือดเป็นเลือด โหดก็เป็นโหด ไม่ได้โหดที่การต่อสู้เพราะยังไงก็โหดอยู่แล้ว แต่ที่ว่าโหดในที่นี้คือโหดที่ความคิดของตัวละครของ ไอ้ระย่ำซั่มแม่ ที่คิดจะครองโลกและจองล้างจองผลาญเกรียนโคตรจนเกิดความสูญเสียของตัวละครที่จนแล้วจนรอดตัวละครนำทั้งสามก็มีจุดรวมอย่างหนึ่งเหมือนกันจนได้คือไม่มี.... ส่วนจะไม่มีอะไรก็เชิญตามกันต่อเองในหนัง, ถ้าในภาคแรกหนังพยายามจะสื่อถึงโลกอันแสนวุ่นวายที่นับวันจะอยู่ยากขึ้นทุกวันจนทำให้วัยรุ่นคนหนึ่งลุกขึ้นมาแต่งตัวเป็นซูเปอร์ฮีโร่ออกปราบอธรรมก่อนที่จะพบว่าเขาเป็นเพียงนกน้อยเพิ่งหัดบินในโลกอันแสนวุ่นวาย

ในภาคนี้หนังจับประเด็นเก่าเอามาขยายจากเดิมกับประเด็นที่ว่าไอ้การแต่งตัวเป็นซูเปอร์ฮีโร่ออกปราบผู้ร้ายเนี่ยคือตัวตนที่แท้จริงจากก้นบึ้งในหัวใจหรือเป็นอะไรกัน ซึ่งหนังถ่ายทอดประเด็นนี้อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งตัวละครจะกลายเป็นนกที่กางปีกบินได้อย่างสง่าบนโลกใบใหญ่ได้หรือไม่ทั้ง เดฟ (เกรียนโคตร), มินดี้ (จิ๋วจี้ด) และ คริส (ไอ้ระย่ำซั่มแม่) หนังมากึ่งหนังก้าวผ่านวัยได้เลยโดยเฉพาะเจ้าตัวละครนำทั้งสามที่ในหนังคือช่วงวัยรุ่นซึ่งในหนังภาคนี้พาคนดูไปพบกับความวุ่นวายในใจของตัวละครที่มีปัญหาไม่เหมือนกัน คนหนึ่งอยากเป็นฮีโร่แต่มีเหตุให้ต้องเลิกเป็น อีกคนก็อยากเป็นฮีโร่แต่ก็โดนบังคับให้เลิกเป็น ส่วนอีกคนก็อยากเป็นสุดยอดวายร้ายที่ดันทำอะไรไม่เป็น!


ซึ่งตัวหนังเอกพาคนดูไปเห็นการเติบโตและการพัฒนาของตัวละครในแบบที่ภาคแรกทำไม่ได้และไม่มี ส่วนตัวละครจะเติบโตยังไงไปในทิศทางใน ณ จุดๆ นี้บอกไม่ได้เลยเพราะถ้าบอกงานนี้หมดสนุกแน่นอน แต่ที่ดูใส่มาแบบคาดไม่ถึงเลยคือการที่หนังสามารถเสียดสีพฤติกรรมสุดแสบของวัยรุ่นได้ดีทั้งการติดเพื่อนหรือการชิงดีชิงเด่นกัน หรือพฤติกรรมของวัยรุ่นผู้หญิงที่มักกรี้ดกร้าดกับเรื่องผู้ชายอาทิซิกส์แพ็คของ แชนนิ่ง เททั่ม! หรือกรี้ดกร้าดกับวงบอยแบนด์ ยูเนี่ยน เจ อะไรจำพวกนี้ ณ จุดๆ นี้น่ะหนังแสบมาก ซึ่งถ้าถามว่าหากเทียบกันภาคแรกกับภาคสองแล้วระหว่าง KICK-ASS กับ KICK-ASS 2 ชอบอะไรมากกว่ากันคำตอบสั้นๆ เลยคือชอบภาคแรกมากกว่าอย่างแน่นอน

แต่ถึงจะบอกว่าชอบภาคแรกมากกว่าแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าภาคสองห่วยหรืออะไรอย่างนั้น แค่หากไปเทียบกับบทของภาคแรกแล้วภาคนี้อินได้ไม่เท่าก็แค่นั้นเอง แต่ถึงบอกอย่างนั้นในหนังภาคนี้ก็มีจุดเด่นที่ภาคแรกไม่มีคือสามารถสานต่อเรื่องราวจากจุดจบของภาคแรกได้ดีถึงการลำดับเรื่องอาจจะมีช่วงออกนอกลู้นอกทางไปนิดหน่อยก็ตามที กับการเล่าเรื่องที่ดูข้ามไปข้ามมาและหนังก็ดันมีช่วงที่รู้สึกเบื่อบ้างในบางช่วงบางตอนของหนัง ซึ่งถ้าไม่สนเรื่องบทอะไรเท่าไรนักก็ขอบอกว่า KICK-ASS 2 เป็นหนังที่มีฉากแอ็คชั่นที่มันส์พอตัวไม่ต่างจากภาคแรกแต่ก็แตกต่างแบบทีใครทีมันเพราะภาคนี้เป็นการยกพวกตีกัน!


และหนังก็ทำออกมาได้มันส์แบบมั่วๆ แต่ก็รู้สึกถึงความสนุกระดับหนังแก็งส์เตอร์ก็ไม่ปาน และที่ชอบมากคือความซ่าส์ของตัวละครในฉากแอ็คชั่น ซึ่งจุดเสริมความมันส์เลยคือการที่ในภาคนี้มีกลุ่มตัวละครใหม่ๆ เข้ามาเสริมเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ๆ ทำให้ภาคนี้ดูมีสีสันมากขึ้นกว่าภาคที่แล้วบ้าง ซึ่งการมีกลุ่มในภาคนี้ก็ดูเป็นระดับน้องๆ อเวนเจอร์ส ก็ไม่ปานแต่เป็น อเวนเจอร์ส ฉบับเกรียนๆ น่ะ ทั้ง นายพลชัยเฉลิมพล กับเจ้า ไอเซ็นฮาว, อีดึกซ่าส์, ดร. แรงโน้มถ่วง หรือแม้แต่ฝั่งวายร้ายก็สร้างสีสันได้พอสมควรแต่กว่าจะรู้สึกว่าไอ้เจ้าพวกนี้มันมีสีสันก็ช่วงครึ่งหลังของหนังเลยเพราะในครึ่งแรกไปปูบทของ เดฟ และ มินดี้ ซะเยอะ แต่ยังไงก็ตามก็รู้สึกว่าภาคนี้อาจจะไม่ได้ดีเท่าภาคแรกแต่ก็ไม่ได้แย่อะไรแถมก็ดูสนุกเหมือนกัน

ด้านการแสดง อารอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน ยังสวมบทเกรียนโคตรได้ดีแม้ในความรู้สึกจะไม่ตีบทแตกเท่าภาคแรกแต่ก็ไม่ได้แย่แต่ถ้าไปเทียบกับนักแสดงคนอื่นรู้สึกได้ชัดเลยว่าเป็นรองอย่าง คริสโตเฟอร์ มินท์-แพลซ ที่ตีบทแตกไปเลยกับบทไอ้ระย่ำซั่มแม่ หรือแม้แต่ทางด้าน จิม แคร์รี่ ถึงบทจะเทียบไม่เยอะแต่ก็สำคัญต่อหนัง ได้เห็น จิม ในบทรุนแรงๆ ก็รู้สึกว่ามันดีมากๆ เลยดีกว่าจมอยู่กับบทเดิมๆ แต่ที่รู้สึกเลยว่าสุดยอดที่สุดคือ โคลอี้ เกรซ มอเร็ตซ์ ที่เล่นดีมากๆ กับบท จิ๊วจี้ด แม้ในภาคแรกจะเป็นเด็กน้อยแต่ในภาคนี้ก็โตเป็นสาวสวยแล้วแต่เธอก็เล่นดีไม่เปลี่ยน ซึ่งอันนี้คงขอชมที่ตัวบทมากกว่าที่ส่งบทเธอให้เด่นในชีวิตไฮสคูลได้แบบดีจริงๆ! อีกคนที่เด่นคือ เคลาดี้ ลี ที่เซ็กซี่ขโมยซีนและขโมยใจหนุ่มๆ ส่วนยังไงนั้นก็.... กันเอง


เจฟฟ์ แวดโลว์ รับไม้ต่อจาก แมธธิว วอห์น ได้แบบสมศักดิศรีแม้ถ้าเทียบกับวีรกรรมที่ วอห์น ทำไว้แล้วจะสู้ไม่ได้ในด้านบทที่ภาคแรกเหนือกว่าและมีอารมณ์ร่วมมากกว่าแต่ถึงอย่างนั้น แวดโลว์ ก็ทำต่อได้ดีและเล่าเรื่องได้ดีแม้จะดูหลุดไปบางช่วงแต่ที่รู้สึกดีคืองานด้านภาพที่มีสไตล์แตกต่างจากวอห์นอย่างเห็นได้ชัดดูเรียลดูดิบกว่าและสมจริงกว่า แถมได้อารมณ์มากขึ้นถ้าได้ดูในระบบ 4DX ที่สามารถยกระดับหนังขึ้นมาอีกขั้นได้ เวลาต่อสู้และเพลินแบบบอกไม่ถูกกันเลย สรุป KICK-ASS 2 เป็นงานดูเพลินตลอด 103 นาที ที่มันส์และบันเทิงไม่ต่างจากภาคแรกครับ...


ความยาวทั้งหมด 103 นาที
คะแนน 8/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger