วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

THE PURGE


THE PURGE / คืนอำมหิต


ผู้จัดจำหน่าย : UNIVERSAL PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : BLUMHOUSE PRODUCTIONS, PLATINUM DUNES
ผู้กำกับ : เจมส์ เดโมนาโก (STATEN ISLAND)
ประเภทของหนัง : HORROR | SCI-FI | THRILLER

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
“คืนล้างบาปอำมหิต มากกว่าเป็นแค่หนังไล่ฆ่ากัน!”


ด้วยทุนสร้างระดับต่ำติดดินแค่ 3 ล้านดอลล่าห์แต่เพียงแค่เปิดฉายสัปดาห์แรกในอเมริกาหนังก็เก็บไปมากถึง 34 ล้านดอลล่าห์!! เรียกได้ว่ากำไรโดยสมบูรณ์แบบตั้งแต่สัปดาห์แรกจนได้ข่าวมาว่าเตรียมเจอกันในภาคต่อของ THE PURGE (แปลตรงตัวก็คือการล้างบาง) หนังเรต R ของ เจมส์ เดโมนาโก ที่ว่าด้วยเรื่องราวกึ่งๆ ไซไฟทริลเลอร์ กับเรื่องราวอเมริกาในอนาคตที่มีกฏหมายในหนึ่งคืนของหนึ่งปีจะมีกฏให้ฆ่ากันโดยไม่ผิดกฏหมาย ซึ่งเป็นพล็อตที่ดูสดใหม่มาก ซึ่งตัวหนังก็ได้ อีธาน ฮอว์ค, ลีน่า เฮย์ดี้, แม็กซ์ เบิร์กโฮเดอร์, อเดลไลดี้ เคน มารับบทครอบครัวดวงตวกแห่งปีแต่ที่รู้สึกว่าการแคสต์ของหนังเด็ดดวงที่สุดคงไม่พ้น รีส เวคฟิลด์ กับบทไอ้หนุ่มผู้ดีแต่นิสัยนรกแตกกับบทหัวหน้ากลุ่มที่มาบุกบ้านตัวละคร!

THE PURGE ไม่ได้เป็นหนังที่น่ากลัวอะไรมากซักเท่าไรแต่เป็นหนังที่เล่นกับอารมณ์กับคนดูได้ดีอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งคงต้องชมที่ตัวบทหนังที่เขียนโดย เจมส์ เดโมนาโก ผู้กำกับของหนังเรื่องนี้ที่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมระหว่างหนังบนจอกับคนดูได้อย่างระทึกซึ่งอารมณ์นี้เป็นไปตลอดการชมหนังเรื่องนี้ ซึ่งตรงนี้หนังสามารถทำได้สำเร็จ หนังสามารถทำให้คนดูรู้สึกอินกับหนังไปตลอดเรื่องและเหมือนจะรู้สึกกดดันแบบว่าแทบหายใจไม่ออกแทนตัวละครในหนังและรู้สึกเครียดกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่หนังนำเสนอและที่ตัวละครต้องเผชิญกับเรื่องราวความเป็นและความตายที่ครอบครัวนี้ต้องเผชิญเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตัวเอง (ซึ่งคงเป็นเพราะมุมกล้องอีกด้วยที่ทำให้รู้สึกระทึก)


แถมเรื่องราวของหนังยิ่งนำเสนอก็ยิ่งระทึกครับ นั้นคงเป็นเพราะหนังมันเล่นกับอารมณ์ของคนดูและไปไกลกว่านั้นคือเล่นกันถึงจิตใจของคนดูทำให้ตลอดการชมเรื่องนี้เวลาตัวละครในหนังทำอะไรนั้นหนังจะแยกออกเป็นสองอย่างในการตัดสินใจ คือระหว่าง ความผิดชอบชั่วดีของจิตใจมนุษย์คือ จะรอดทั้งครอบครัวโดยปล่อยให้คนที่ไม่รู้จักตาย หรือจะ ปกป้องคนที่ไม่รู้จักและสู้ให้รอดไปด้วยกัน หนังทำตรงนี้ได้ดีกับเหตุการณ์ในหลายๆ ส่วนของหนัง อาทิ ชาร์ลี่ ไอ้เด็กโลกสวยที่ไปช่วยชายปริศนาจนเกิดเรื่อง หรือฉากที่ เจมส์ ตัดสินใจลุยกับไอ้พวกที่บุกบ้าน หรือฉากท้ายๆ ที่ชายปริศนาเลือกที่จะปกป้องครอบครัวนี้แทน ซึ่งตรงนี้เองที่สรุปได้คร่าวๆ ว่านี่เป็นหนังวิเคราะห์จิตใจมนุษย์ได้อย่างถึงแก่น

แต่แค่ที่กล่าวไปคงจะไม่พอถ้าบอกว่านี่คือหนังวิเคราะห์จิตใจมนุษย์หากไม่กล่าวถึงไอ้พวกเพื่อนบ้านตัวแสบ! ที่ทำทีเหมือนจะมาปกป้องครอบครัวแซนดินแต่ที่ไหนได้กลับมาเพื่อฆ่าครอบครัวนี้เพียงเพราะความอิจฉา!! ซึ่งเหตุการณ์นี้ยังต่อไปยังการที่ชายปริศนามาช่วยไว้ซึ่งตรงนี้อีกนั้นแหละที่ได้เห็นว่าการเลือกที่จะไม่ฆ่าเพื่อนบ้านของ แมรี่ นั้นแสดงให้เห็นว่าจิตใจมนุษย์ก็สำคัญเหมือนกัน อีกอันหนึ่งที่ขอพูดคือกลุ่มที่มาบุกบ้านแซนดินอันนี้นี่แหละสำคัญเพราะเป็นต้นตอทั้งหมดภายนอกดูเรียบร้อยแต่ภายในจิตใจสกปรกมาก เลือกที่จะฆ่าคนโดยเขาไม่ได้ทำผิดอะไร ซึ่งสามารถเก็บไปคิดต่อได้ว่าหากโลกจริงมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นจริงเราเลือกจะทำอย่างไร ตรงนี้ไม่มีคำตอบที่ถูกส่วนคำตอบคืออะไรนั้นก็ต้องถามใจคุณดู


แต่ที่รู้สึกว่ามันแทงใจเลยคือคำพูดในเอนด์เครดิตที่มีคนพูดว่า “ผมเสียลูกชายและลูกสาวไป ผมเคยเป็นอเมริกาที่ภูมิใจแต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว” ซึ่งอันนี้มองไปไกลได้กว่าอีกคือมันเป็นหนังที่วิจารณ์สังคมในโลกนี้ได้อีก แต่มันดูจะเบาบางกว่าถ้าไปเทียบกับการเปิดประเด็นของจิตใจมนุษย์!?, รีส เวคฟิลด์ ไอ้หนุ่มผู้ดีที่บุกบ้านแซนดินตีบทแตกกับบทนี้ รีส แสดงสีหน้าอำมหิตและโรคจิตแต่ก็มีทีท่าเป็นสุภาพบุรุษ? โดยเฉพาะน้ำเสียงที่ดูแล้วงานนี้ถ้าจะแจ้งเกิดได้ไม่ยากโดยเฉพาะรอยยิ้มอันน่ากลัว เจมส์ เดโมนาโก มาพร้อมทุนสร้าง 3 ล้านแต่ทำได้ดีแบบสุดๆ แถมเวลานำเสนอก็น้อยแต่กลับเล่นกับทุกอย่างที่หนังมีได้หมดเหมือนตอน SAW ของ เจมส์ วาน ที่มาในรูปแบบเดียวกันและระทึกเหมือนกัน...


ความยาวทั้งหมด 85 นาที
คะแนน 8.5/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger