R.I.P.D. / หน่วยพิฆาตสยบวิญญาณ
ผู้จัดจำหน่าย : UNIVERSAL PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : ORIGINAL FILM, DARK HORSE ENTERTAINMENT
ผู้กำกับ : โรเบิร์ต ชเวนท์เก้ (FIGHTPLAN, RED)
ประเภทของหนัง : ACTION | COMEDY | CRIME
“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”
มุมมอง
“เป็น MEN IN BLACK เวอร์ชั่นล่าท้าผี
ที่สนุกตรงเสน่ห์ตัวละครบวกทีมนักแสดงและมุมกล้อง!!”
เรื่องตลกร้ายเรื่องแรกของ REST IN PEACE DEPARTMENT หรือชื่อย่อๆ ว่า "R.I.P.D." คือ โรเบิร์ต ชเวนท์เก้ ยอมทิ้งโปรเจ็คต์ RED 2 เพื่อมากำกับหนังเรื่องนี้ และไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ RED 2 ดันฉายชนกับ R.I.P.D. ที่ชเวนท์เก้ยอมทิ้งมา! ซึ่งทำให้เกิดเรื่องตลกร้ายเรื่องที่สองที่ตามมาคือ RED 2 ดันทำเงินมากกว่าในสัปดาห์เปิดตัว!! ถึงแม้จะไม่ได้ทำเงินเป็นอันดับ 1 แต่ RED 2 ทำเงินไปมากกว่า 6 ล้านดอลล่าห์ (ซึ่งทั้งสองเรื่องมี แมรี่ หลุยส์ ปาร์คเกอร์ นำแสดง) เรื่องตลกร้ายเรื่องต่อมาคือ ไรอัน เรย์โนลด์ หนังทั้งสองเรื่องที่ฉายในสัปดาห์เดียวกัน R.I.P.D. และ TURBO ต่างเน่าตายคาบ็อกซ์ออฟฟิศทั้งคู่ ทำให้สรุปได้ง่ายๆ ว่า R.I.P.D. คืองานดวงแตกกับเรื่องบ้าๆ บอๆ อย่างการเลือกวันฉาย! แต่ถึงกระนั้นหนังก็สวนทางกับเรื่องนี้เพราะหนังสนุกอยู่!!
ดูกันแบบผิวๆ นี่คืองานที่จะเอาหนังตำรวจคู่หูต่างแนวมาเจอกันมาจับคู่กันแบบที่หาได้ทั่วๆ ไปปีละหลายๆ เรื่อง อย่างที่ฉายล่าสุดในไทยก็อย่าง THE LONE RANGER และ 2 GUNS แต่หากมองกันแบบลึกๆ หนังจับเอาเรื่องราวตำรวจไล่ล่าผีมาเป็นเรื่องราวทำให้หนังมีความแตกต่างอยู่บ้าง (ถึงแม้อะไรหลายๆ อย่างจะดูคล้าย MEN IN BLACK แต่เป็นเวอร์ชั่นล่าท้าผี) และแตกต่างมากขึ้นไปอีกก็คือการที่การนำคู่หูสองคนต่างวัยมาเจอกัน แต่ต่างวัยในที่นี้มาจากสองยุคสมัยคนหนึ่ง รอย มาจากปี 1800 สมัยยังเรียกตำรวจว่า ลอว์แมน หรือสมัยคาวบอยนู่น ส่วนอีกคน นิค คือตำรวจจากยุคสมัยปัจจุบัน ต่างคนต่างความคิดแต่ถึงจะนิสัยต่างกันแต่ที่เหมือนกันคือทั้งคู่ตายแล้วแถมตายในลักษณะคล้ายกัน!
ทำให้ต่อจากนั้นคือเป็นความสนุกส่วนสำคัญของหนัง ที่จะเห็นทั้งคู่ทะเลาะกัน!! ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง อาทิ เรื่อง หมวก! หรือแม้แต่เรื่องการตายของรอยอะไรประมาณนี้ ซึ่งดูการทะเลาะกันมันช่างสนุกแท้ ถึงมาคิดทีหลังการทะเลาะกันมันช่างไร้สาระแท้แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นจุดที่สนุกมากเพราะเคมีของสองตัวละครมันลงล็อคเปะ เวลาเห็นตัวละครทะเลาะกันหรือขัดแย้งกันมันเลยสนุกเป็นพิเศษ ซึ่งจุดนี้เองที่หนังคู่หูเป็นทุกเรื่องคือการทะเลาะกันแต่ก็ต้องยกย่องเลยที่หนังทำได้เนียนขนาดนี้ ซึ่งเป็นความโชคดีของหนังจริงๆ ที่สามารถสร้างตัวละครให้ออกมาได้อย่างลงตัว เพราะถ้าจุดนี้หนังสอบตก หนังทั้งเรื่องก็ดิ่งลงเหวได้เลย ซึ่งนี่เป็นข้อดีที่สุดของหนังที่ทำออกมาดี
แต่ถึงอย่างนั้นหนังก็มีจุดอ่อนในเรื่องของการสร้างความโดดเด่นของตัวร้ายและอ่อนมากไปอีกในเรื่องของบทหนัง เริ่มที่เรื่องแรกตัวร้ายดูธรรมดาเกินไป เป็นตัวร้ายที่มีจุดประสงค์ร้ายแบบสุดๆ แต่ก็ไม่เท่าไร จะร้ายกาจแบบสุดๆ ก็ไม่ใช่ แถมบรรดาพวกลูกน้องก็ธรรมดาเกิน (ส่วนใครคือตัวร้ายเชิญตามในหนังเอาเอง) ส่วนเรื่องที่สองคือที่ว่าบทอ่อนคือ บทหนังของ ฟิล เฮยส์ และ แม็ตต์ มานเฟรดิ (คู่หูจาก CLASH OF THE TITANS) นั้นสามารถเดาทางได้ว่าจะไปตรงไหนต่อในการดำเนินเรื่อง คือบทสร้างเสน่ห์ของตัวออกมาได้ดี แต่มันตรงข้ามกับตัวบทที่ดูจะมุ่งเน้นไปข้างหน้าอย่างเดียว เดาทางและจับทางได้ ไม่ค่อยจะใส่ใจรายละเอียดหนังที่ตกหล่น (แบบเยอะสุดๆ)
แถมหนังนั้นก็ไม่รู้จะดำเนินเรื่องเร็วไปไหน! แต่ก็โชคดีที่บทไม่ต้องไปคิดอะไรมากไม่มีอะไรที่ต้องไปตกตระก่อนความคิดหลังดูหนังจบ แต่ความจริงอะไรในหนังมันก็ง่ายไปแบบตัวละครอยากจะเก่งมันก็เก่ง (ซึ่งคำถามต่อมาคือมันไปเก่งตอนไหน?) ซึ่งเอาจริงๆ เลยถ้าหนังสามารถเก็บรายละเอียดที่พลาด (หรือจงใจ) ไปได้สักหน่อยหนังจะยกระดับได้มากกว่านี้อีกพอสมควร แต่เมื่อมองย้อนไปความยาวของหนัง 96 นาทีทั้งผู้กำกับและบทก็คงพยายามเต็มที่แล้ว แต่ไม่เป็นไรเอาแค่นี้ก็พอแล้วเพราะสำหรับผู้เขียนนี่เป็นหนังที่สนุกได้โดยไม่ต้องสนเรื่องบท แต่มันก็น่าสนใจหากหนังยาวขึ้นอีกสัก 30 นาทีมันจะเป็นไง!?
อย่างที่จั่วหัวบอกไปข้างต้นว่ามีดีอีกอย่างคือทีมนักแสดงซึ่งนักแสดงเด่นๆ ในหนังมีสามคนคือ ปู่เจฟฟ์ บริดเจส, ไรอัน เรย์โนลด์ และ ป๋าเควิน เบคอน ซึ่งสองคนแรกปู่เจฟฟ์และไรอันในบท รอย และ นิค ทั้งคู่ต่างมีเคมีที่เข้ากันในการแสดงนอกเหนือไปจากเสน่ห์ตัวละครที่เข้ากันอยู่แล้ว ลองนึกงานไม่ใกล้ไม่ไกลอย่าง เดนเซล วอชิงตัน กับ มาร์ค วอห์ลเบิร์ก ใน 2 GUNS แล้วจะรู้ แบบคนหนึ่งตบมุขอีกคนก็ขยี้อะไรประมาณนี้ เถียงกันด้วยเรื่องบ้าบอคอแตก ซึ่งถ้าใกล้เคียงแบบสุดๆ หน่อยก็ ทอมมี่ ลี โจนส์ และ วิลล์ สมิธ ใน MEN IN BLACK ทั้ง 1 และ 2 ซึ่งจะให้ตรงนี้ตรงเคมีนักแสดงเนี่ยล่ะที่เป็นจุดขายหนังแนวนี้ ซึ่งงานนี้ทั้งปู่เจฟฟ์ และ ไรอัน สอบผ่านครับ
อีกคน เควิน เบคอน ป๋าไม่เคยทำให้ผิดหวังอาจแม้จะไม่ได้เด่นอะไรมาก แต่ยามใดป๋าปรากฏบนจอป๋าช่างเท่และมีเสน่ห์เหลือเกิน จนบางที่คิดว่าถ้าปรากฏบนจอพอๆ กับนายไรอัน ป๋าคงกลบรัศมีไรอันมิดเลยทีเดียว, สุดท้ายก่อนจบขอพูดถึงเรื่องสุดท้ายคือมุมกล้อง ซึ่งในหนังเรื่องนี้ โรเบิร์ต ชเวนท์เก้ เลือกใช้ฝีมือของ อัลวิน คุทช์เลอร์ ที่เคยกำกับภาพใน HANNA มาแล้ว ซึ่งตัวคุทช์เลอร์น่ะมีสไตล์อยู่แล้วแต่ไอ้ที่คาดไม่ถึงคือการใช้มุมกล้องคือทำได้รู้เลยว่าหนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากคอมิคส์แน่ คือมุมกล้องมันช่างดูโอเว่อร์มา เช่นมุม 360 องศาบ่อยๆ ในหลายๆ ฉาก คุณพระคุณเจ้าทำไมรู้สึกว่ามันยอดเยี่ยมขนาดนี้ ยิ่งรวมกับ CG ระดับที่ดี กลายเป็นว่าภาพที่ได้เห็นมันช่างสุดยอดจริงๆ...
สรุป
“ไม่ได้บอกว่า R.I.P.D. เป็นหนังที่โคตรสนุก แต่หากมองเป็นหนังที่ให้ความบันเทิงหนังก็ผ่านเกณฑ์แบบสบายๆ แม้ 70-80% ต่างบอกว่าหนังห่วย แต่หากมองให้ลึกมองให้เป็นหนัง บางทีเราพบความสนุกของหนังได้ R.I.P.D. มันสนุกกว่าที่คิด บันเทิงกว่าที่คาด การแสดงก็ดี เคมีก็เข้า ไม่ได้บอกให้เชื่อจนกว่าจะพิสูจน์เอง!”
ความยาวทั้งหมด 96 นาที
คะแนน 7.5/10
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น