วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

FANTASTIC FOUR


FANTASTIC FOUR / แฟนแทสติก โฟร์


ผู้จัดจำหน่าย : 20TH CENTURY FOX
สตูดิโอผู้สร้าง : TSG ENTERTAINMENT
ผู้กำกับ : จอช แทรงค์ (CHRONICLE)
ประเภทของหนัง : ACTION | ADVENTURE | SCI-FI

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง


สอง (หรือสาม) ปีที่แล้ว ทเว็นตี้ เซนจูรี่ ฟ็อกซ์ ต้องตัดสินใจว่าจะส่ง แดร์เดวิล หรือ แฟนแทสติก โฟร์ กลับ มาร์เวล สุดท้ายเป็น แดร์เดวิล ที่ต้องกลับบ้าน ซึ่งนั่นเหมือนเป็นก้าวที่ผิดพลาดของ ฟ็อกซ์ เพราะ มาร์เวล กลับทำให้ แดร์เดวิล กลายเป็นหนึ่งในซีรี่ย์ที่ได้รับคำชมอย่างมากมาย... และนั่นก็ทำให้การรีบู๊ตในครั้งนี้ของ แฟนแทสติก โฟร์ เป็นการรีบู๊ตที่ (โคตร) มีความเสี่ยงสูง! ถ้าดีหรือทำเงินคือได้ไปต่อแต่ถ้าไม่! อาจจะต้องรอเวลากลับบ้านมาร์เวลได้เลย ซึ่งความหวังในการรีบู๊ตหนนี้อยู่ในมือของ จอช แทรงค์ ผู้กำกับที่เคยส่ง CHRONICLE กลายเป็นหนังขวัญใจนักวิจารณ์มาแล้ว และกับทีมนักแสดงเลือดใหม่ทั้ง ไมลส์ เทลเลอร์ (มิสเตอร์แฟนแทสติก), เคท มาร่า (อินวิซิเบิลวูแมน), ไมเคิล บี. จอร์แดน (ฮิวแมนทอร์ช) และ เจมี่ เบลล์ (เดอะ ธิงค์)...

เรื่องราวของ FANTASTIC FOUR ฉบับรีบู๊ตในครั้งนี้คิดว่าองค์ประกอบหลายๆ อย่างของหนังให้อารมณ์แบบ CHRONICLE ไม่มากก็น้อยครับ แต่เป็น CHRONICLE ที่มาในเวอร์ชั่นทุนสูง!! (แต่จะว่าไปจะบอกว่า FANT4STIC เหมือนกับ CHRONICLE ก็ไม่เชิงซ่ะทีเดียวน่ะ เพราะเรื่องราววัยรุ่นหรือคนทั่วไปได้รับพลังพิเศษนี่ สไปเดอร์แมน ก็เล่น แฟนแทสติก โฟร์ ก็เล่น หนังฮีโร่ส่วนใหญ่ มันก็เล่น แต่เอาว่ามันเปรียบเทียบกันง่ายดีเลยเอา CHRONICLE มาพูดล่ะกันน่ะ...)


จุดที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ถ้าพูดตรงๆ คือการที่หนังดำเนินเรื่องได้เร็วดีครับ นี่พูดจริงๆ น่ะไอ้การดำเนินเรื่องเร็วนี่แหละคือข้อที่ดีที่สุดของหนังก็ว่าได้ เป็น 90 นาทีไม่นับเอนด์เครดิตที่ไวมากๆ ต้นเรื่องไปกลางเรื่องและไปสู่บทสรุปได้รวดเร็วมากๆ เร็วขนาดพูดกับตัวเอง อะไรหนังจบแล้ว!? ซึ่งนั่นก็เป็นข้อดีไม่กี่ข้อที่หนังมีจริงๆ (น่ะ)... ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า CHRONICLE เป็นหนังที่ดีมากๆ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความ จอช แทรงค์ แกจะทำ FANTASTIC FOUR ให้เป็นหนังที่ดีและโดนใจทุกคนได้น่ะครับ

จอช แทรงค์ แกอาจจะกำกับหนังเรื่องนี้ด้วยอารมณ์ประมาณคนกำลังเมายา (อาจจะกัญชาไม่ก็ยาที่มีฤทธิ์กดประสาท) ทำให้หนังออกมาดูงงๆ งงกันทั้งคนดูทั้งตัวละคร งงกับเนื้อหาที่บทจะมาก็มาบทจะไปก็ไป จะสนุกก็ไม่ใช่ จะบอกว่าแย่ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ ทั้งที่หนังเปิดประเด็นเรื่องได้ดีกับการนำเสนอให้เป็นหนังไซไฟอารมณ์แบบ INTERSTELLAR (แต่ว่าไป FF มันก็ออกแนวไซไฟอยู่แล้วนี่?) บวกเข้ากับเรื่องของวัยรุ่นที่ร้อนแรง ซึ่งหนังปูบทได้ดีน่ะ จำได้เลยกับคำพูดของ ดร. สตอร์ม ที่ว่า “พวกนายคือเด็กยุคนี้ที่จะแก้ไขความผิดพลาดของคนยุคก่อน” นั่นล่ะหนังมันต้องออกมาน่าสนใจแน่นอน แต่สุดท้ายหนังก็ พัง !!


หนังกลับกลายเป็นว่าเหมือนสับสนในตัวเองน่ะ เดี๋ยวไปเล่าตรงนั้นตรงนี้แบบโคตรไร้เหตุผล คงถือว่าไม่สปอยล์น่ะ คือเรื่องมันเป็นงี้น่ะ ขอเล่าสั้นๆ ล่ะกัน ช่วงกลางเรื่องเนี่ย คือหลังจากไอ้ทั้งสี่ได้พลังมาเนี่ย หนังมันแยกเป็นสองเรื่องใหญ่ๆ คือเรื่องของรี้ด กับ เบน ที่ รี้ด มันหนีไป กับเรื่องการแก้ไขพลังให้กลับเป็นเหมือนเดิมเพราะทั้งสาม (ซู, จอห์นนี่, เบน) กลายเป็นเครื่องมือของรัฐบาลไปแล้ว คือหนังมันเล่าแบบโจ่งแจ้งเลยน่ะ แต่ผ่านไปสักพักมันไม่เล่าต่อเว้ย! หนังมันไม่สนเรื่องนั้นแล้ว มันไปเล่าเรื่อง ดูม ที่หวังจะทำลายโลกซะงั้น? และไอ้พวกนี้ดันดวงตาเห็นธรรมฟอร์มทีมไปสู้กับ ดูม เลย เห้ย! แล้วประเด็นก่อนหน้าไม่เล่าแล้วเหรอ เดี๋ยวดิ (แถมอีดูมนี่ไม่อยู่บนโลกตั้งปีเจือกคิดจะทำลายโลกแบบไร้เหตุผลซะงั้น อะไรเนี่ย สับสนๆ)

ซึ่งหลังจากนั้นหนังก็ปล่อยให้คนดูนั่งงงๆ แล้วหนังก็เข้าสู่ฉากแอ็คชั่น อันน่าตื่นตาตื่นใจ ราวๆ 10 นาทีที่ทำได้แอบสนุกดี แล้วหนังก็จบลง ปล่อยให้คนดูงงๆ กับหนัง งงๆ กับชีวิตต่อไป (อะไรทำไม ทำไมฉันมาอยู่ตรงนี้ได้?)... ด้วยความดีความชอบของฉบับรีบู๊ตกลับกลายเป็นว่าหนังฉบับนี้ส่งให้ฉบับก่อนของ ทิม สตอรี่ กลายเป็นหนังดีระดับหนังขึ้นหิ้งได้เลยทีเดียว


นี่ยังไม่นับเรื่องที่ว่าเปลี่ยน ดร. ดูม ไม่สิต้องชื่อว่า ดูม หนึ่งในวายร้ายสุดทรงพลังให้กลายเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีความน่าเกรงขามแม้แต่น้อย รู้สึกเซ็งไม่มากก็น้อยเลยแบบบอกไม่ถูก (อนึ่ง ทีมงานสับขาหลอกคนดูน่ะครับตอนปล่อยเรื่องย่อออกมาเปลี่ยนชื่อ ดร. ดูม เป็น วิคเตอร์ โดมาเชฟ แต่พอดูในหนังชื่อ วิคเตอร์ วอน ดูม เหมือนคอมิคส์) ... จุดที่เข้าขั้นเสียดายคือผมชอบแคสท์นักแสดงทีมนี้ทั้ง ไมลส์ เทลเลอร์, เคท มาร่า, ไมเคิล บี. จอร์แดน (ถ้าไม่มีประเด็นเรื่องสีผิวถือว่า ไมเคิล แกเป็น จอห์นนี่ ที่เพอร์เฟกต์น่ะ ผมชอบเลย) และ เจมี่ เบลล์ มากๆ แต่สุดท้ายเพราะหนังมัน...


ความยาวทั้งหมด 100 นาที
คะแนน 5/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger