วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559

THE BIG SHORT


THE BIG SHORT / เกมฉวยโอกาสรวย


จัดจำหน่าย : PARAMOUNT PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : PLAN B ENTERTAINMENT, REGENCY ENTERPRISE
ผู้กำกับ : อดัม แม็คเคย์ (ANCHORMAN 1-2, STEP BROTHERS)
ประเภทของหนัง : BIOGRAPHY | DRAMA

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง


ในปี 2007-2008 โลกเกิดวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ (หรือที่บ้านเราเรียกแฮมเบอร์เกอร์ ไครซิส นั่นแหละ) ซึ่ง THE BIG SHORT ก็เป็นหนังตลาดหุ้นซึ่งเป็นงานกำกับชิ้นใหม่ของ อดัม แม็คเคย์ ก็จับเหตุการณ์วิกฤตินี้มาเล่น โดยหนังดัดแปลงมาจากหนังสือของ ไมเคิล ลูอิส คนเขียน MONEYBALL ที่ก่อนหน้านี้โดนจับเอาไปทำเป็นหนังมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน โดยหนังจะแบ่งเรื่องราวเป็น 3 กลุ่มใหญ่โดยจะเล่าเรื่องนักเล่นหุ้นที่ดันไปเห็นว่า สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ กำลังเกิดวิกฤติ เจ้าพวกนี้เลยไปเล่นหุ้นสินเชื้อนี้เพื่อนำมาเก็งกำไร ก็ประมาณนี้

อย่างที่บอกไปว่าหนังดำเนินเรื่องและแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ดร. เบอร์รี่ (คริสเตียน เบล) นักธุรกิจที่เป็นคนเห็นว่ากำลังจะเกิดวิกฤติ, มาร์ค บัม (สตีฟ คาเรลล์) นักธุรกิจเลือดเดือด กับ เจเร็ด เวนเน็ตต์ (ไรอัน กอสลิงค์) นักธุรกิจหัวหมอ, สองนักลงทุนหนุ่มผู้หวังมาเสี่ยงโชคใน วอลล์สตรีท ชาร์ลี (จอห์น มากาโร่) และ เจมี่ (ฟินน์ วิตต์ร็อค) โดยที่มีที่ปรึกษาคือ เบน ริคคาร์ต (แบรด พิตต์) โดยที่ทั้งสามกลุ่มนี้จะแยกออกจากกันเดินเรื่องใครเรื่องมัน แต่ทั้งหมดอยู่ในเส้นเรื่องเดียวกันทั้งหมด


คือนี่เป็นหนังตลาดหุ้นที่มาพร้อมกับเรื่องชวนเวียนหัวและศัพท์เฉพาะวงการนี้มากมาย คนดูทั่วไปคงอาจจะตามไม่ทัน อดัม แม็คเคย์ เลยหาวิธีแก้แบบล้ำๆ ด้วยการมีคัตซีนแทรกที่จับเอาดาราดังๆ มาอธิบายเพื่อให้เข้าใจ อาทิ มาร์ก็อต ร็อบบี้ และ เซเลน่า โกเมซ เป็นต้น ก็น่าจะพอให้คนดูเก็ตขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย? นับว่าตัวหนังเองก็มีลูกเล่นแพรวพราวพอตัวเลยน่ะ

THE BIG SHORT เป็นหนังตลาดหุ้นหลายคนอาจจะคิดว่าหนังมันไม่สนุกแน่ๆ แต่พบว่าถ้าเราเปิดใจและตั้งใจดูดีตัวหนังก็ถือว่าสนุกและบันเทิงพอตัวเลยน่ะ อดัม แม็คเคย์ นี่เก่งพอตัวที่นำเรื่องยากๆ มาใส่สีสันแล้วทำออกมาได้สนุก โดยที่หนังเอาจริงๆ ก็มาอารมณ์เดียวกันกับ MARGIN CALL เลย จัดเต็มทั้งศัพท์การหุ้น และ บทพูดโคตรเยอะ แต่ไปๆ มาๆ ดันสนุกเป็นอย่างมากครับ (แถม THE BIG SHORT กับ MARGIN CALL มันก็คือเรื่องราวเดียวกัน (จุดเริ่มต้นความบรรลัยของ) ตลาดหุ้นเหมือนกัน วิกฤติซับไพรม์เหมือนกัน เหตุการณ์เดียวกัน แค่คนละมุม คนละบริษัท ซึ่งสามารถดูต่อกันได้เลย...


ความยาวทั้งหมด 130 นาที
คะแนน 8/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger