วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

THE THEORY OF EVERYTHING


THE THEORY OF EVERYTHING / ทฤษฏีรักนิรันดร


ผู้จัดจำหน่าย : FOCUS FEATURES, UNIVERSAL PICTURES
สตูดิโอผู้สร้าง : WORKING TITLE FILMS
ผู้กำกับ : เจมส์ มาร์ช (MAN ON WIRE)
ประเภทของหนัง : BIOGRAPHY | DRAMA | ROMANCE

“บทความนี้อาจเปิดเผยเรื่องราวของหนังที่อาจทำให้คนที่ยังไม่ดูหนัง
อาจเสียอรรถรสในการดูหนังได้ และการเขียนนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ”

มุมมอง
เอ็ดดี้ เรดเมยน์ กับ ทฤษฏีรักของ สตีเฟ่น และ เจน”


ถ้าจับเอาหนังทั้งหกเรื่องที่บ้านเราได้เข้าฉายไปแล้วมาประชันกันในตอนนี้เชื่อลึกๆ ว่า BOYHOOD น่าจะกินเรียบทั้งในภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยมแน่ๆ แต่ถ้าสาขานักแสดงล่ะนำหญิงมีหลายคนที่ได้ลุ้น ส่วนสมทบชายและหญิงก็มีตัวเต็งมาแต่ไกลอย่าง เจเค ซิมมอนส์ หรือ แพทริเซีย อาเควตต์ แต่ในสาขานำชาย ณ ตอนนี้หลังได้ชม THE THEORY OF EVERYTHING ก็มองออกแล้วว่างานนี้นำชายจะตกอยู่ไปในมือใคร..?

จากการแสดงของ เอ็ดดี้ เรดเมยน์ ที่แสดงเป็น สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง ได้อย่างเด็ดดวง ก็เพียงพอที่จะทำให้ เอ็ดดี้ ปาดหน้า เบเนดิคต์ คัมเบอร์แบทช์ (THE IMITATION GAME), แบรดลี่ย์ คูเปอร์ (AMERICAN SNIPER) หรืออาจจะรวมถึง ไมเคิล คีตัน (BIRDMAN) ขึ้นไปคว้าออสการ์นำชายได้ไม่ยาก ส่วนตัวมองว่า THE THEORY OF EVERYTHING ก็เป็นหนังที่ดีครับ ตรงตามหลักเกณฑ์ที่ออสการ์ชอบ แม้มองภาพรวมแล้วหนังดูจะเป็นรองทั้งอีกสามถึงสี่เรื่องที่ได้เข้าชิง แต่อย่างน้อยก็พูดได้ว่าหนังเรื่องนี้ก็สมศักดิ์ศรีที่ได้เข้าชิงออสการ์ทั้งห้าสาขาอยู่เหมือนกัน


การแสดงของ เอ็ดดี้ เรดเมยน์ ที่รับบทเป็น สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง นักศึกษาปริญญาเอกในรั่วมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ผู้ได้พบรักกับนักศึกษาหญิงนาม เจน ไวลด์ (รับบทโดย เฟลิซิตี้ โจนส์) การแสดงของ เอ็ดดี้ เป็นอะไรที่พูดได้ว่าเพอร์เฟกต์ที่สุดในปีนี้ก็ว่าได้ จากการที่รับบทเป็นคนธรรมดาตอนต้นเรื่อง ก่อนที่จะมารับบทเป็นคนที่โลกกลับตาลปัตรหลังถูกตรวจพบว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ ALS (เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จักโรคนี้จากเทรนด์ ไอซ์ บัคเก็ต ชาลเลนจ์ เมื่อปีที่แล้ว) ซึ่งหมอได้วินิจฉัยว่า สตีเฟ่น จะอยู่ได้แค่สองปี แต่ด้วยพลังรักหรือความพยายามทำให้ สตีเฟ่น มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้และได้สร้างสิ่งดีงามต่อโลกใบนี้อีกมากมาย

โดย เอ็ดดี้ สามารถแสดงเป็นผู้ป่วยเป็น ALS ได้อย่างยอดเยี่ยม หรือต้องพูดว่า เอ็ดดี้ แสดงเป็น สตีเฟ่น ได้อย่างยอดเยี่ยมมากกว่า การแสดงของ เอ็ดดี้ พูดได้เลยว่าทำให้เราทึ่ง เหมือน เอ็ดดี้ ทุ่มจิตวิญญาณทั้งหมดที่มีใส่บทๆ นี้ ทุกช่วงเวลาในชีวิตของ สตีเฟ่น เจ้าเอ็ดดี้กลับแสดงได้อย่างทรงพลัง เปลี่ยนไปทั้งท่าทางให้เหมือน สตีเฟ่น ทั้งนั้นยังเป็นวิธีการพูดให้พูดไม่ชัดจนถึงพูดไม่ได้ ซึ่ง เอ็ดดี้ ทำได้สุดยอดมากผ่านทุกช่วงเวลาที่หนังมีและนำเสนอ นั่นทำให้เราเชื่อว่า เอ็ดดี้ น่าจะปาดหน้าทั้ง เบเนดิคต์ คัมเบอร์แบทช์, แบรดลี่ย์ คูเปอร์, ไมเคิล คีตัน ครองออสการ์นำชายได้ไม่ยาก


ถ้าไม่นับการแสดงของ เอ็ดดี้ เรดเมยน์ ล่ะก็ THE THEORY OF EVERYTHING เองเนี่ยก็มีข้อเสียใหญ่ๆ อยู่ที่บทของหนังครับ ไม่ใช่ว่าบทไม่ดีน่ะ ยอมรับเลยว่าบทหนังนั่นทำออกมาได้ดีมาก และตัวหนังก็ดีมาก จริงๆ ข้อเสียอาจจะไม่ได้อยู่ที่บท แต่อาจจะอยู่ที่การเล่าเรื่องมากกว่าก็เป็นได้ เปรียบว่าทั้ง เจน และ สตีเฟ่น เป็นดังจุดศูนย์กลางของจักรวาลในหนังเรื่องนี้ เพราะงั้นพอหนังไม่ได้สโคปที่ความสัมพันธ์ของ เจน กับ สตีเฟ่น หนังก็เลยจะออกดูธรรมดาจืดๆ ไปหน่อย ยกตัวอย่างเช่นพอหนังไปเน้นที่ความสัมพันธ์ของ เจน กับ โจนาธาน (รับบทโดย ชาร์ลี ค็อกซ์) หนังก็กลายเป็นหนังพูดได้ว่างั้นก็ว่าได้

แต่พอกลับมาเน้นที่ความสัมพันธ์ของ เจน กับ สตีเฟ่น หนังก็กลับมาพีคมาก ก็คือว่าหนังเนี่ยพอบทมันจะพีคหนังมันก็โคตรพีคโคตรจะทรงพลัง ถึงขนาดน้ำตาร่วงเลยก็ว่าได้ แต่พอถึงคราวบทหนังจะกร่อยหรือไม่ได้เน้นที่ตัว สตีเฟ่น กับ เจน หนังก็สามารถเปลี่ยนแปลงกลายเป็นหนังที่โคตรจะจัดว่าธรรมดาก็ว่าได้ ซึ่งเป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเรื่องเลยทีเดียว เพราะงั้นพูดได้ว่า เจน และ สตีเฟ่น เป็นดังจุดศูนย์กลางของจักรวาลในหนังเรื่องนี้เลยก็ว่าได้


และตัวหนังเองก็ไม่ได้เน้นด้านวิทยาศาสตร์หรือด้านดาราศาสตร์มากหนักแต่มุ่งเน้นไปที่เรื่องราวความรักของ สตีเฟ่น และก็ เจน ได้เห็นความสัมพันธ์ที่สร้างมาด้วยกัน (แม้จะจบลงแบบแยกทางกันแต่ทั้งคู่ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน) แม้ความรักจะเกิดในช่วงเวลาที่นับว่ายากลำบากมากๆ ก็ตามที และโดยรวมแล้วตัวหนัง THE THEORY OF EVERYTHING ก็นับว่าเป็นหนังที่ดีมากเรื่องนึงและก็ยอมรับว่าเป็นหนังโรแมนติคที่ดีมากและก็เป็นหนังที่ดีมากๆ คนที่บ่อน้ำตื้นก็อาจจะน้ำตาแตกและก็อาจจะอินได้ไม่ยากนัก แต่ถึงจะอย่างไรแค่อย่างน้อยแค่ได้ชมการแสดงของ เอ็ดดี้ เรดเมยน์ ก็พูดตรงๆ ว่าถือว่านับว่าคุ้มแล้วจริงๆ ครับ

สิ่งที่ชอบอีกอย่างของ THE THEORY OF EVERYTHING ก็คือดนตรีประกอบครับ ดนตรีประกอบของ โยฮาน โจแฮนสัน ถือว่าทำได้เข้ากับตัวหนังตั้งแต่นาทีแรกที่ได้เห็น สตีเฟ่น กับ ไบรอัน ปั่นจักรยานแข่งกัน แล้วไอ้ดนตรีสกอร์เนี่ยก็ยังส่งเสริมตัวหนังได้ตลอดเวลา (ในช่วงเวลาที่หนังมันพีค) เพราะงั้นถ้าไม่นับนำชายก็มีสาขานี่เนี่ยล่ะที่ได้ลุ้น แม้มันจะมีคู่แข่งของแข็งนาม ฮานส์ ซิมเมอร์ (INTERSTELLAR) ก็ตามที...


ความยาวทั้งหมด 123 นาที
คะแนน 8.5/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger